“ช่องว่างระหว่างวัย (Gap Generation)”หมายถึงการที่คนต่างช่วงอายุยากจะพูดคุยกันรู้เรื่อง เนื่องจากคนแต่ละช่วงอายุจะมีทัศนคติหรือความเชื่อที่แตกต่างกันไปตามบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลง ทำให้หลายครั้งมักจบลงด้วยการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงหรือไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ ดังเหตุการณ์ล่าสุดกับ “การชุมนุมทางการเมืองที่ผู้ชุมนุมจำนวนมากเป็นนักเรียน-นักศึกษา และคนวัยหนุ่ม-สาวที่เพิ่งเริ่มทำงาน” กลายเป็นความรุนแรงในครอบครัวเนื่องจากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย มีชุดความคิดที่ต่างจากคนรุ่นใหม่อย่างสิ้นเชิง
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนาเรื่อง “ทางออก...ครอบครัวไทยในวิกฤติการเมือง” โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่ง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ตัวแทนคุณแม่ที่นำประสบการณ์ของลูกที่เข้าร่วมชุมนุมมาถ่ายทอดผ่านสื่อออนไลน์ เล่าว่า เหตุการณ์ในค่ำวันที่ 16 ต.ค. 2563 ซึ่งตำรวจได้ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อสลายการชุมนุมบริเวณแยกปทุมวัน ลูกสาวได้มาขอไปร่วมการชุมนุมโดยเดินทางไปกับเพื่อนๆ แน่นอนว่าไม่สามารถห้ามไม่ให้ไปได้
แต่ก็ได้นัดแนะว่าไปถึงแล้วรายงานสถานการณ์มาเป็นระยะๆ ด้วย (ถึงหรือยัง อยู่ที่ไหน ฯลฯ) โดยลูกก็ถ่ายรูปส่งมา ขณะที่อีกด้านหนึ่งพ่อของลูกก็ไปตามดูอยู่ห่างๆ ด้วย ส่วนตนเองที่ไม่ได้ไปก็นั่งดูถ่ายทอดสดอยู่ที่บ้าน ซึ่งเมื่อเริ่มเหตุการณ์สลายการชุมนุม ได้โทรศัพท์ไปหาลูกสาวและลูกก็เล่าว่าโดนฉีดน้ำใส่เหมือนกันแต่ไม่มากนักเพราะเพื่อนพากันหลบออกมาได้และได้บอกว่าจะกลับบ้านแล้ว เมื่อพบกันก็เห็นสีหน้าลูกแสดงออกว่าได้ผ่านเหตุการณ์ใหญ่ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต และเล่าออกมาเป็นฉากๆ ว่าโดนอะไรอย่างไร และมีน้ำใจจากใครที่เข้ามาช่วยบ้าง
“เราก็ถามเขาคำเดียว คิดถูกหรือคิดผิดที่ไป เขาบอกว่าหนูคิดถูกมากๆ ที่ไปเพราะหนูได้ประสบการณ์ที่เขาไม่มีทางได้ในห้องเรียน ไม่มีทางได้ทางการดูผ่านทีวีหรือผ่านช่องทางต่างๆ เราก็เห็นว่ามันเป็นประสบการณ์ที่น่าบันทึกเอาไว้ เราก็เลยขออนุญาตลูกก่อนเอามาเขียนว่าเขาเจออะไรบ้างผสมกับความรู้สึกของเรา ซึ่งเราห่วงละ อันดับ 1 กลัวความปลอดภัย เพียงแต่ว่าถ้าเป็นความต้องการของเขา แล้วเรามีวงว่ามันอยู่ในขอบเขตที่เราสามารถไว้ใจได้ เราก็ควรอนุญาตให้เขาไป” ทิพย์พิมล กล่าว
คุณแม่ผู้นี้ กล่าวต่อไปว่า หลังเผยแพร่เรื่องราวออกไป ก็ตกใจที่มีคนส่งต่อๆ ไปให้คนอื่นอ่านเป็นจำนวนมาก และมีคนส่งข้อความเข้ามาพูดคุย ทั้งวัยรุ่นที่นำเรื่องนี้ไปส่งให้พ่อแม่อ่านเพราะไม่สามารถพูดคุยกันตรงๆ ได้ โดยหวังว่าพ่อแม่จะอ่านแล้วเปิดใจบ้าง “เด็กบางคนเล่าว่าตนเองไม่สามารถคุยเรื่องการเมืองกับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวได้” ซึ่งก็แนะนำวิธีพูดไป แต่ก็มีทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว เรื่องนี้เข้าใจได้จากปัจจัยของแต่ละครอบครัว
ส่วนฝั่งพ่อแม่ผู้ปกครอง ก็ได้แนะนำไปว่า “ไม่ว่าคุณจะมีความเชื่อแบบไหน สิ่งสำคัญกว่าคือ ณ วันนั้นคุณรู้สึกอย่างไร” เพราะพ่อแม่ทุกคนมีจุดอ่อนไหว (Sensitive) เรื่องความปลอดภัยของลูก เมื่อได้อ่านแล้วก็อยากจะเปิดใจคุยกับลูก แม้หลายคนจะยอมรับว่ามีมุมมองทางการเมืองแตกต่างกันก็ตาม จึงเหมือนเป็นการสร้างพื้นที่เล็กๆ ที่ปลอดภัยสำหรับมาคุยกัน และย้ำว่า “ไม่มีลูกคนไหนสบายใจที่โกหกพ่อแม่ แต่ความห่วงของพ่อแม่กับความต้องการของลูกมันมาชนกัน” ดังนั้นจะดีกว่าหรือไม่ที่ลูกพูดความจริง เพราะพ่อแม่เองยังตามไปดูห่างๆ เพื่อช่วยเหลือได้
“ถามถึงขนาดว่าระหว่างไปกับไม่ไปคุณเลือกแบบไหน เราก็บอกว่าเราไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น เพียงแต่หน้าที่มันก็คือแค่ดูแลเขาให้อยู่ในขอบเขตและอยู่ในความปลอดภัย แล้วก็คุยกับเขามากที่สุดไม่ว่าเขาจะคุยเรื่องอะไรก็ตาม เราก็บอกว่าพื้นฐานเราก็พยายามคุยกับลูกทุกๆ เรื่อง แต่ก็ไม่ใช่แบบครอบครัวสวยงามที่ว่าลูกจะเปิดใจฟังทุกครั้ง แต่แค่เขาไม่โกหก แค่เขาบอกเราว่าเขาอยากไป เขาขอไป มันก็น่าจะพอแล้ว” ทิพย์พิมล ระบุ
มุมมองจากสื่อมวลชน รุ่งโรจน์ สมบุญเก่าผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ TPBS เล่าว่า การชุมนุมครั้งนี้สิ่งที่พบคือผู้ชุมนุมจำนวนมากเป็นนักเรียนชั้นมัธยมและหลายคนมาทั้งเครื่องแบบนักเรียน “นักเรียนเหล่านี้มีการขอว่าไม่อยากเปิดเผยใบหน้า” เช่น ขอให้ช่างภาพบันทึกภาพจากด้านหลัง “เมื่อถามเหตุผลก็ได้รับคำตอบว่าแอบที่บ้านมา” โดยสาเหตุที่ต้องแอบมาเพราะไม่สามารถพูดคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่ได้“ผู้ใหญ่มีการตัดบทว่าอาบน้ำร้อนมาก่อน” นั่นหมายถึงการยุติการสนทนา
ซึ่งหลังจากทำข่าวการชุมนุมครั้งนี้ไปเรื่อยๆ สิ่งที่พบคือ “ระดับความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้น” เช่น ลูกถูกพ่อแม่ดุด่า ถูกตัดค่าใช้จ่ายประจำวัน “มีแม้กระทั่งถูกส่งไปเรียนต่างประเทศหรือถูกไล่ออกจากบ้าน” ซึ่งก็มีการตั้งกองทุนช่วยเด็กและเยาวชนกลุ่มที่ถูกไล่ออกจากบ้าน เรื่องนี้ตอนแรกที่ติดตามผ่านสื่อออนไลน์ก็ยังไม่เชื่อ แต่เมื่อไปถามองค์กรการกุศลที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนก็พบว่าเป็นเรื่องจริง ส่วนผู้ปกครองเด็กๆ ที่พบในที่ชุมนุมนั้นน้อยมาก เด็กนั้นหากไม่ใช่ว่ามากับเพื่อนๆ ก็คือพ่อแม่อนุญาตแต่ไม่ได้มาด้วยเพราะต้องทำงาน
“ตอนนั้นที่แยกราชประสงค์ ก็ไปเจอคุณพ่อกับลูกสาวมากับกลุ่มเพื่อนๆ ก็ถามคุณพ่อว่ามาแบบนี้เพราะมีจุดร่วมเดียวกันหรือเปล่า จุดยืนทางการเมืองเดียวกันหรือเปล่า คุณพ่อก็บอกว่าไม่! คนละขั้วกันเลย เคยคุยแล้วก็ทะเลาะ แล้วคุณพ่อก็รู้สึกว่าลูกค่อยๆ Action (แสดงออก) แรงกลับมาเรื่อยๆ มันจะบานปลายกลายเป็นความรุนแรงในครอบครัวหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่ทำร้ายร่างกาย แต่อาจค่อยๆ เพิ่ม Step (ระดับ) ตั้งแต่ดุด่า เริ่มตัดโน่นตัดนี่ ก็เลยรู้สึกว่าไหนๆ ก็มาให้รู้ดูให้เห็นก็แล้วกัน ก็เลยมาด้วยกันที่แยกราชประสงค์
พอคุยกันคุณพ่อก็บอกว่าอยากรู้ว่าทำไมน้องถึงคิดแบบนี้ถึงเชื่อแบบนี้ รวมทั้งมาฟังแกนนำด้วย แล้วก็คุยกับเด็กๆ รอบๆ ด้วย ก็เลยรู้ว่าสุดท้ายเขาก็มาด้วยจุดยืนของเขา อนาคตของเขาด้วย อันนี้อาจจะเป็นโชคดีหรือเปล่าที่คุณพ่อเลือกที่จะเป็นคนถอยแล้วก็เปิดใจฟังลูก คือส่วนหนึ่งลูกก็ดีใจที่คุณพ่อเปิดใจรับฟังเขา แต่อีกส่วนหนึ่งคือเขาก็เปลี่ยน รับฟังคุณพ่อเหมือนกัน มันเหมือนพื้นที่การชุมนุมวันนั้นมันเป็นห้องเรียนประชาธิปไตยไปเลย เด็กก็เรียนรู้ คุณพ่อก็บอกว่ามันเป็นแบบนี้ๆ ส่วนลูกก็บอกว่าสิ่งที่หนูอยากบอกพ่อแบบนี้ๆ” รุ่งโรจน์ กล่าว
รุ่งโรจน์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญคือ“แม้จะมีพ่อแม่อยากเปิดใจ แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยอย่างไร” เท่าที่พบคือเห็นพ่อแม่ผู้ปกครองไปใช้พื้นที่เฟซบุ๊คบ้าง ทวิตเตอร์บ้าง ในการหาความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าจะเริ่มพูดคุยกับบุตรหลานอย่างไร จึงมองว่าน่าจะมีแพลตฟอร์ม (Platform) กลางเป็นตัวประสาน ซึ่งอีกงานที่ทำอยู่คือเพจ “The Active” กำลังเสนอกันว่าน่าจะมีช่องทางพูดคุยอย่างสันติ ทั้งในหมู่ผู้ชุมนุมและในครอบครัว
ขณะที่ ฐาณิชชา ลิ้มพานิช ตัวแทนมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวว่า มูลนิธิฯ ทำงานการด้านการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ในครอบครัว แทนการสื่อสารแบบเดิมๆ ประเภทสั่งหรือห้ามมาก่อนแล้ว ซึ่งจากที่ได้พูดคุยกับคุณแม่คนหนึ่งที่มีปัญหาขัดแย้งกับลูกเพราะต่างคนต่างมียึดถือข้อมูลคนละชุด ก็พบว่า “หากยังพูดคุยเรื่องข้อมูลอย่างไรก็ไม่มีทางจบเพราะทุกคนมีหลักคิดและความเชื่อเป็นของตนเอง” กระทั่งคุณแม่รายนี้ตัดสินใจยอมเป็นฝ่ายรับฟังลูก เพียงเพราะอยากคงความสัมพันธ์ในครอบครัวไว้
“ลูกขอไปชุมนุมเขาก็ไม่ให้ไป น่าจะวัยมหา’ลัย แล้วลูกก็เป็นมือเขียนโพสต์ต่างๆก็รู้สึกว่าลูกหยาบคาย ลูกรุนแรง ลูกก้าวร้าว ความรู้สึกของแม่มันประเดประดัง เขาก็บอกว่ารับไม่ได้ ทีนี้ทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ คือไม่คุยกัน เขาก็บอกว่าอย่างนั้นเอาความสัมพันธ์ที่มีอยู่ลองคุยกับลูก แล้วก็ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ในการนั่งฟังลูก คือแม่ก็ยอมทุกอย่าง ขนาดฟังยังค้านมาก อยากจะเถียง แต่ก็ปรับวิธี คือฟังจริงๆ พอฟังเสร็จลูกก็ไปบอกกับเพื่อนว่าแม่ยอมให้ไปแล้วนะ เพื่อนก็บอกว่าแม่เธอเป็นฮีโร่มากเลย ทำไมแม่เธอเข้าใจ เธอทำอย่างไร
คือเด็กเองก็มีมุมอยากจะสื่อสารว่าทำอย่างไรจะคุยกับแม่ได้ แล้วก่อนออกจากห้องลูกบอกว่าขอกอดแม่ได้ไหมที่แม่ฟังเขา พอเปลี่ยนวิธีการนี้ก็รู้สึกว่าไม่ต้องเปลี่ยนหลักการตัวเอง คือแม่ก็ยังอยู่คนละฟากกับลูกยังเห็นต่างกับลูก แต่วิธีที่ทำคือเขาก็ได้ฟังสิ่งที่ลูกอยากจะพูด เพราะลูกก็มีตัวตนของเขาลูกอยากจะออกไปทำบางอย่างที่เพื่อนๆ เขาทำกันแล้วเขารู้สึกว่ามันถูกต้อง แล้วมันก็ทำให้เขาไปสื่อสารกับเพื่อนคนอื่นๆ ว่าเห็นไหมว่าแม่ฟัง แล้วแม่ก็เป็นฮีโร่ของเขาจริงๆ บรรยากาศมันก็ดีขึ้น ทุกวันนี้ก็เลยคุยกันได้อยู่กันได้” ฐาณิชชา กล่าว
ตัวแทนมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว กล่าวต่อไปว่า “สังคมไทยเผชิญกับความแตกแยกในครอบครัวเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองมาแล้วหลายครั้ง” โดยในอดีตอาจเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ด้วยกัน เช่น สามีกับภรรยา แต่ปัจจุบันเป็นผู้ใหญ่กับเด็ก เช่น พ่อแม่กับลูก ถึงกระนั้น “ไม่อยากให้การเมืองทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัว” เพราะสุดท้ายกระแสการเมืองย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไป-มา แต่ครอบครัวยังเป็นสิ่งที่คงอยู่ และเน้นย้ำถึงพ่อแม่ผู้ปกครองว่า “การฟังคือต้องฟังจริงๆ อย่างตั้งใจ” ไม่ใช่ฟังไปเถียงไป
ด้าน ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ นักกระบวนการสื่อสารอย่างสันติ สื่อสารด้วยหัวใจกล่าวเสริมว่า โดยปกติพ่อแม่มีความรักเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ทำให้แม้จะเป็นเรื่องยากแต่พ่อแม่หลายรายก็เลือกที่จะให้ตนเองเป็นฝ่ายเปิดใจรับฟังลูกก่อน ทั้งนี้หากนำ “กลไกระบบประสาท” มาอธิบาย อาจแบ่งได้ 1.เมื่อรู้สึกปลอดภัย (ไฟเขียว) มนุษย์จะรู้สึกสงบ มีสติมีความสุข เปิดใจกว้างในการรับฟังและแลกเปลี่ยนเรียนรู้
2.เมื่อรู้สึกถึงอันตราย (ไฟเหลือง) มนุษย์จะรู้สึกเครียด นำไปสู่การตอบสนองแบบสู้หรือหนี ซึ่งในกรณีนี้หากนำมาใช้อธิบายปัญหาการเมืองกับครอบครัว พ่อแม่ที่เลือกสู้อาจใช้วิธีดุด่าหรือตัดค่าใช้จ่ายลูก แต่พ่อแม่ที่เลือกหนีอาจจะปล่อยไม่สนใจ 3.เมื่อรู้สึกถึงอันตรายมากๆ (ไฟแดง) มนุษย์จะตอบสนองแบบแน่นิ่งเช่น เกิดภาวะซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก หรือชะงักงันทำอะไรไม่ถูก
ถึงกระนั้น “มนุษย์ลดอารมณ์ตนเองลงได้เสมอ” และ “การยอมรับและเข้าใจไม่ได้แปลว่าต้องละทิ้งจุดยืนของตนเอง” ผู้คนสามารถรับฟังกันได้แม้จะมีความเห็นแตกต่างกันก็ตาม สุดท้ายหากถึงที่สุดสภาพจิตใจพ่อแม่ไม่ไหวจริงๆ สามารถขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญได้เพื่อลดระดับความรู้สึกลงมา เพื่อที่ไม่ว่าลูกจะออกจากบ้านไปนานเพียงไหน แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีบ้านให้กลับ
สุรเสกข์ ยุทธิวัฒน์ เพจ “Toolmorrow”เล่าย้อนว่า “สมัยยังเป็นวัยรุ่นมักถูกพ่อแม่พูดใส่เสมอๆ ว่าเป็นเด็กยังไม่เข้าใจบ้าง ไว้รอให้โตก่อนบ้าง ก็ได้แต่คิดอยู่ในใจว่าทำไมไม่ฟังลูกบ้าง ทำให้เริ่มคิดหนีออกจากบ้าน” แรกๆ ก็เป็นการออกจากบ้านตอนกลางคืนไปจับกลุ่มกับเพื่อนๆ ใช้ชีวิตแบบเสี่ยงๆ เช่นดื่มเหล้า-สูบบุหรี่ ต่อมาเริ่มไปไกลถึงขั้นข้ามจังหวัดแม้ไม่มีเงินติดตัวเพื่อจะไปหาญาติ ซึ่งยอมรับว่าวันนั้นยังโชคดี อาทิ คนขับรถทัวร์นอกจากจะให้โดยสารรถไปแล้วยังให้เงินติดตัวจำนวนหนึ่งด้วย เพราะหากเคราะห์ร้ายไปเจอคนไม่ดีก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร
“ถ้าปล่อยให้เด็กเริ่มโกหก หรือให้ลองทำอะไรบางอย่างที่มันเล็กๆ ที่มันเสี่ยงๆ โอกาสที่เขาจะทำอะไรที่ใหญ่ขึ้นมันก็สูงสู้ฟังเขาดีกว่า ตอนนั้นจำได้ว่าโกรธที่บ้านมาก แล้วผู้ปกครองก็มาตามแล้วก็ไล่กลับบ้านแบบไม่สนใจเลย แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้สึกผิดเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำกับเราวันนั้นมันโกรธมาก ทำไมตอนนี้ถึงมาเห็นใจ ตอนนั้นไม่สงสารเราเลย ก็ใช้ชีวิตตัวคนเดียว อยู่กับแฟนทำโน่นทำนี่บ้าง ใช้เงินกู้ระหว่างการศึกษาบ้างประทังชีวิตเพื่อที่จะรอด
แต่จำได้ว่ามันมีบาดแผลในใจ คือระหว่าง 3 ครั้งที่ผมออกจากบ้าน ผมเห็นคนที่ใช้ชีวิตแบบผม ผมโชคดีที่กลับมาได้ ไปหาแม่ขอเข้าบ้าน บางคนไปเสพยา บางคนเสพยาจนตาย บางคนไปนอนบ้านเพื่อน ไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทโดนทำร้ายร่างกายเข้าไอซียูไม่ครบ 32 บางคนติดคุก ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้มีคนโชคดีแบบเรา โลกภายนอกมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และมันไม่ใช่ทุกคนที่จะกลับมาได้” สุรเสกข์ กล่าว
หนุ่มรายนี้ ยังเล่าอีกว่า เมื่อใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ก็เริ่มตั้งคำถามกับตนเองว่าจะอยู่แบบนี้ไปอีกนานเท่าไร “ไปส่งแฟนที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันแต่ก็ไม่ยอมกลับบ้าน แม้ว่าเมื่อเห็นหน้าบ้านแล้วน้ำตาจะไหลก็ตาม” กระทั่งวันหนึ่งไม่อาจทนเห็นแม่ร้องไห้ได้อีกต่อไป ประกอบกับทางบ้านฐานะก็ไม่ดีนัก จึงตัดสินใจกลับบ้านเพราะอยากเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่ออนาคต ถึงความสัมพันธ์กับที่บ้านจะยังเป็นแบบระมัดระวังกันก็ตาม เพราะบาดแผลในใจยังอยู่ ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะค่อยๆ ดีขึ้น โดยเลือกที่จะ “ฟังแบบไม่ต้องคาดหวัง” เพื่อตัดปัญหาความคิดที่ว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ
สุดท้าย “หมอโอ๋” พญ.จิราภรณ์อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และเจ้าของเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” ฝากข้อคิดว่า 1.การสร้างพื้นที่ปลอดภัยไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องคิดหรือมองไปในแนวทางเดียวกัน แต่เป็นพื้นที่ที่แต่ละคนสามารถแสดงออกในสิ่งที่ตนเองคิดได้โดยที่ไม่มีการทำร้ายกัน อย่างไรก็ตาม การที่แต่ละคนยึดถือชุดคุณค่าที่แตกต่างกัน เช่น เด็กยึดถือเรื่องความเท่าเทียม สิทธิมนุษยชน ในขณะที่ผู้ใหญ่ยึดถือเรื่องความกตัญญูรู้คุณ ความสงบ ทำให้การถกเถียงด้วยเหตุผลเป็นไปได้ยาก
2.การรับฟังไม่ได้หมายถึงการรับฟังว่าเหตุผลของอีกฝ่ายถูกต้องหรือไม่ แต่เป็นการรับฟังความต้องการของแต่ละฝ่าย ซึ่งความต้องการไม่ว่าฝ่ายเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องผิด ดังนั้นสิ่งที่ต้องคิดคือทำอย่างไรความต้องการของคนทุกฝ่ายจะได้รับการตอบสนองแบบยังอยู่ร่วมกันได้ นั่นหมายถึงจะไม่มีฝ่ายใดได้อะไรไปหมดทุกอย่าง แต่เป็นการต่อรองกันที่ทำให้แต่ละฝ่ายรู้สึกว่าฝ่ายตนได้บางอย่างที่รู้สึกพอใจ มีการประนีประนอมอะลุ้มอล่วยโดยไม่ต้องทำลายบางอย่าง
“อยากให้มองมันว่าเป็นแบบฝึกหัดที่เราทุกคนต้องเจอสิ่งเหล่านี้อีกมากมายในอนาคต เพราะความเห็นต่างจะเกิดขึ้นอีกมหาศาลกับการที่มี Generation (ช่วงวัย) ที่เปลี่ยนแปลง โลกที่มันปรับเปลี่ยนตลอดเวลา แล้วก็การปรับตัวของคนทุก Generation ที่ต้องอยู่ในโลกเดียวกัน ระยะเวลาเดียวกัน ในขณะเดียวกันตรงนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ มองให้มันเป็นแบบฝึกหัด เพราะว่าต่อไปเราต้องเจอความเห็นต่างกันอีกมากมาย พ่อแม่เห็นว่าลูกเรียนเก่ง อยากให้ลูกเรียนหมอ วิศวะ เป็นทหาร-ตำรวจ เด็กอยากเป็น Youtuber เป็น Game Caster เป็นเจ้าของร้านกาแฟ
เราจะอยู่กับความเห็นต่างตรงนี้อย่างไร ลูกเราอยากจะมีแฟนที่เป็นตุ๊ด-กะเทย แทนที่จะเป็นผู้หญิง หรืออาจจะมีแฟนเป็นเกย์ เราจะอยู่กับมันยังไง ลูกเราอาจจะอยากอยู่ก่อนแต่งไม่ใช่แต่งแล้วค่อยอยู่เราจะอยู่กับสิ่งเหล่านี้อย่างไร เชื่อว่าตรงนี้มันเป็นเหมือนแบบฝึกหัดที่ทำให้เราเตรียมกับการที่จะต้องเข้าใจว่าบางอย่างมันก็มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดบางอย่าง มีความเชื่อ มีอะไรที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทำยังไงเรากับลูกจะอยู่ร่วมกันแบบที่ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ทุกอย่าง แต่ทำอย่างไรที่เราจะต่อรองกันได้” พญ.จิราภรณ์ ฝากข้อคิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี