พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ได้กล่าวถึง "อานิสงส์ถวายข้าวพระพุทธรูป" ไว้ในหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม" ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ ไว้ดังนี้ (อ่าน ออานิสงส์ถวายสบู่หอมพระสงฆ์ : หลวงพ่อฤๅษี ตอบปัญหาธรรม)
ผู้ถาม : “กระผมไม่กล้าถวายข้าวพระข้าวเจ้า ถวายผลไม้แทนได้ไหมครับ…?”
หลวงพ่อ : “ถ้าบังเอิญชาตินี้ไปนิพพานไม่ได้ ชาติหน้ามีแต่ลูกไม้กิน”
ผู้ถาม : “อย่างนั้นถวายข้าวด้วยดีกว่าครับ แต่บางทียังถวายไม่เสร็จเลย แมวกินเสียก่อนแล้ว อย่างนี้จะว่ายังไงครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อ : “อ๋อ…นั่นเป็นลูกศิษย์พระ ลูกศิษย์พระมีทั้งแมว มีทั้งหนู มีทั้งมด มีทั้งจิ้งจก นั่นลูกศิษย์ของท่านนะ”
ผู้ถาม : “อ้อ…ต้องให้โอกาสเขาบ้างนะ”
หลวงพ่อ : “ใช่ เรานี่ไปแย่งเขากินนะ แต่ความจริงการถวายข้าวพระ จะเป็นอาหารหรือว่าเป็นลูกไม้ก็ตาม พระพุทธรูปท่านไม่ได้ฉัน แต่เป็นการบูชาความดีของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นกรรมฐาน เขาเรียก พุทธานุสสติกรรมฐาน สูงมาก ไม่ใช่ต่ำ
ถ้าเวลาเราถวายบางทีเราควบทั้ง ๓ เลย ทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เขาว่า อิมัง สูปะพยัญชนะ สัมปันนัง แล้วก็ลงท้ายด้วย พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ใช่ไหม ที่ลงตอนท้ายนี่ เป็นทั้ง พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ถือว่าเป็นกรรมฐาน และถือว่าเป็นฌานด้วย เพราะจิตเราห่วงอยู่เสมอว่า วันพรุ่งนี้เราจะเอาอะไรถวาย ตัวคิดตัวนี้เป็นฌานก็ทรงตัว อันนี้เป็นการปฏิบัติกรรมฐานใน พุทธานุสสติกรรมฐาน โดยไม่รู้สึกตัว
ฉะนั้น ทุกคนทุก ๆ วัน ควรจะถวายข้าวพระ และก็กับข้าวมาก ๆ อย่าใช้ถ้วยเล็ก ๆ นะ ถ้วยโต ๆ มีกับประเภทไหนที่เราชอบใจมาก ก็บอก นี่เอาถวายพระพุทธ กันคนอื่นไว้”
ผู้ถาม : “ทีนี้ญาติโยมเอาถ้วยตะไลเล็ก ๆ ถวายล่ะครับ…?”
หลวงพ่อ : “อันนี้ไม่เป็นไร อยู่ที่จิตใจ จิตตั้งใจจะถวาย ตัวที่นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์ ตัวนี้สำคัญเป็นฌาน”
ผู้ถาม : “คือ คงคิดว่า องค์หล่อท่านเล็ก ๆ ก็เลยถวายถ้วยเล็ก ถ้าถ้วยใหญ่กลัวจะตกใจ ดีไม่ดีหล่นไปในขันน้ำ ว่ายไม่ได้ตาย เดี๋ยวพระพุทธรูปตาย เลยต้องเอาถ้วยเล็ก ๆ”
หลวงพ่อ : “เล็กหรือใหญ่ไม่สำคัญ สำคัญที่นึกอยู่เสมอว่า ตอนเช้าเราจะถวายข้าวพระพุทธรูป ตัวนี้สำคัญมาก การนึกถึงพระพุทธรูป เป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน เมื่อถึงเวลา จิตมันคิด ก็เป็นฌาน ฌานัง แปลว่า การเพ่ง ตัวเพ่งนี้ตัวตั้งใจ ถ้านึกถึงพระธรรมด้วย พระสงฆ์ด้วย เป็น ธัมมานุสสติ ด้วย สังฆานุสสติ ด้วย ถ้าทำอย่างนี้เสมอ ๆ ตายแล้วตกนรกไม่เป็น”
ผู้ถาม : “ถวายข้าวพระพุทธรูป กับถวายข้าวพระสงฆ์ อย่างไหนอานิสงส์มากกว่ากันคะ…?”
หลวงพ่อ : “การถวายข้าวพระพุทธรูป ถ้าเป็นเจตนาเพื่อเป็นพุทธบูชาจริง ก็เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน ตั้งใจถวายพระสงฆ์และตั้งใจถวายจริง ๆ เป็นวัตถุทานด้วย เป็นสังฆานุสสติกรรมฐานด้วย แต่อย่าลืมว่าถวายแก่พระพุทธเจ้ามีอานิสงส์มากกว่าถวายพระสงฆ์เยอะ แต่ว่าเวลานี้ถ้าไม่ถวายพระสงฆ์ เกิดไปชาติหน้าอดข้าว เดี๋ยวหนูเกิดไปชาติหน้า ถ้าพูดเขาไม่ให้กิน ต้องนั่งเฉย ๆ เดี๋ยวเขาก็ให้กิน”
ผู้ถาม : (หัวเราะ)
หลวงพ่อ : “ถวายพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ ยังไม่ถือเป็นทาน เราจะมีทรัพย์สิน มีเสื้อสวม มีผ้านุ่ง มีบ้านอยู่ นั่นเป็นอานิสงส์ของทาน การให้ ถ้าเราบูชาพระพุทธเจ้าจัดเป็นพุทธบูชาเฉย ๆ นึกถึงความดีของท่าน ไม่ถือว่าเป็นทาน อานิสงส์ได้คนละอย่าง
พุทธบูชา มหาเตชะวันโต การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชมีอำนาจมาก นั่นหมายความว่า ถ้าเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม มีรัศมีกายสว่างไสวมาก เทวดาหรือพรหมนี่เขาไม่ดูเครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างออกจากกาย
ธัมมบูชา มหาปัญโญ การบูชาพระธรรม มีปัญญามาก คือใคร่ครวญในพระธรรมจนเกิดปัญญา จิตเป็นสมาธิ
สังฆบูชา มหาโภคะวะโห สงเคราะห์พระสงฆ์ เกิดไปรวยมาก เพราะเราใช้วัตถุเป็นเครื่องหมาย
อานิสงส์ต่างกัน แต่ต้องทำ ๓ อย่าง ไม่งั้นหลวงพ่ออด”
ผู้ถาม : (หัวเราะ) “หลังเพลก็ถวายได้ใช่ไหมคะ…?”
หลวงพ่อ : “ได้ ถือเป็นการบูชานะ ไม่ใช่ถวายทาน ไม่จำกัดเวลานะ”
ผู้ถาม : “จัดอาหารไปเลี้ยงพระที่วัด และได้จัดอาหารถวายพระพุทธรูป ลาแล้วก็เอาให้ลูกกิน รวมทั้งครอบครัวด้วย เอามากินที่บ้าน จะมีบาปหรือไม่คะ…?”
หลวงพ่อ : “ชักสงสัยนะ ความจริงถวายพระพุทธรูปแล้ว อย่าเอามาดีกว่า เวลาที่วางไปแล้ว เรากล่าวเป็นสังฆทานนี่ ใช่ไหม…ทีหลังถวายพระพุทธรูปที่บ้านดีกว่าไม่มีเรื่องดี หรือว่าถ้าถวายพระพุทธรูปแล้ว ก็เก็บถวายพระในตอนเพล จะได้อานิสงส์อีก”
ผู้ถาม : “ที่บ้านหนูทำบุญบ้าน นิมนต์พระ ๙ องค์ แล้วถวายข้าวพระพุทธด้วย เสร็จแล้วก็เอามาทาน จะได้ไหมคะ…?”
หลวงพ่อ : “สาธุ…ทีหลังอย่าทำก็แล้วกันนะ”
ผู้ถาม : “ต้องชำระหนี้สงฆ์ใช่ไหมคะ…?”
หลวงพ่อ : “พระยายมท่านตอบว่า หมิ่นไป ท่านบอกว่า ควรจะถวายพระเอาไปวัด”
ผู้ถาม : “แล้วในเวลาเพลแล้วเล่าคะ…?”
หลวงพ่อ : “เพลแล้วก็เป็นเรื่องของพระไป ถ้าถวายพระแล้วท่านไม่เอา ก็ใช้ได้เลย”
ผู้ถาม : “เอาหญ้าที่วัดไปทำยาที่บ้าน จะเป็นไรไหมคะ…?”
หลวงพ่อ : “ไม่เป็นไร เจ้าของพระศาสนาบอกเองนะ พระก็สงเคราะห์คนได้เหมือนกัน”
ผู้ถาม : “ถ้าชำระหนี้สงฆ์แทนคนอื่นได้ไหมคะ คือพี่ชายหนูบวชแล้ว พอสึกก็เอาของวัดมาบ้าน”
หลวงพ่อ : “ตอนที่ชำระให้เขารู้ไหม…?”
ผู้ถาม : “ก็ไม่ทราบค่ะ คือหนูจ่ายแทนแล้วไปบอกเขาได้ไหมคะ…?”
หลวงพ่อ : “ได้เลย…ต้องให้เขารู้ด้วยนะ”
ผู้ถาม : “กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ ลูกมีความไม่สบายใจเกี่ยวกับของใส่บาตรหลายประการ วันหนึ่งแม่ทำกับข้าวเสร็จก็ใส่บาตร แต่ไม่บอกลูก ลูกก็เลยกินก่อนพระ วันที่สองแม่แบ่งไว้ถวายพระ ลูกไม่รู้นึกว่าแบ่งให้หนู หนูก็เลยกินไปอีก แม่เจี๊ยวจ๊าวเป็นการใหญ่ หาว่ากินก่อนพระ ก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา อยากจะขอโทษ แม่จะให้อภัยหรือเปล่าเจ้าคะ เพราะไม่รู้และไม่เจตนา…?”
หลวงพ่อ : “ไม่เจตนามันกินยังไงนะ ต้องหลับกิน ไม่เจตนา เราก็หาของมาแทนซิ ไม่มีอะไร พระท่านไม่ได้ว่า แม่จะได้ไม่สะดุดใจ กินอะไรเข้าไปบ้างจำได้ไหม…ไปซื้อของอย่างนั้นมาให้แม่เพื่อถวายพระ หมดเรื่องกัน แม่จะได้ถวายพระต่อไป”
คัดลอกจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ หน้า ๓๖-๔๑ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี