'อภัยทาน' เป็นทานที่ประเสริฐยิ่งกว่าการให้วัตถุสิ่งของใดๆ เป็นทานสูงสุดในพุทธศาสนา
ในโลกที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ อารมณ์โกรธเปรียบเสมือนไฟที่พร้อมจะเผาไหม้จิตใจให้เร่าร้อน แต่ในทางพระพุทธศาสนา มีหนทางหนึ่งที่จะดับไฟนั้นได้อย่างสิ้นเชิง นั่นคือ "อภัยทาน" หรือ "การสละอารมณ์โกรธเป็นทาน" ซึ่งเป็นทานที่ประเสริฐยิ่งกว่าการให้วัตถุสิ่งของใดๆ เป็นทานสูงสุดในพุทธศาสนา เพราะเป็นการให้ที่มาจากภายในจิตใจ สู่ความสงบสุขที่ยั่งยืน
เมื่อใดที่เราผูกโกรธ พยาบาท หรือจองเวรกับใคร ใจของเราก็เหมือนถูกล่ามโซ่ตรวนไว้กับความทุกข์นั้น อารมณ์เหล่านี้กัดกินความสุข ทำลายความสัมพันธ์ และบดบังปัญญา อภัยทานจึงเป็นการปลดปล่อยพันธนาการ ที่มองไม่เห็นให้ใจเป็นอิสระจากความขุ่นมัว ความเครียดและความคับแค้น
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า "การให้อภัย" คือ "การยอมแพ้" หรือ "การปล่อยให้คนที่ทำผิดลอยนวล" แต่แท้จริงแล้ว อภัยทานคือการเลือกที่จะไม่แบกรับภาระแห่งความทุกข์ที่เกิดจากความโกรธไว้ในใจ การให้อภัยไม่ได้หมายความว่าเราเห็นด้วยกับการกระทำที่ผิด หรือลืมเลือนสิ่งที่เกิดขึ้น แต่หมายถึงการที่เราเลือกที่จะไม่ให้สิ่งเหล่านั้นมาบงการอารมณ์และความสุขของเราอีกต่อไป
เมื่อเราเลือกที่จะให้อภัย เรากำลังปลดปล่อยตัวเองออกจากกรงขังที่สร้างขึ้นด้วยความโกรธ ความขุ่นเคือง และความปรารถนาที่จะแก้แค้น สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนไฟที่เผาไหม้ตัวเราเองก่อนที่จะไปทำร้ายผู้อื่นด้วยซ้ำ การให้อภัยจึงเป็นการมอบอิสรภาพทางใจให้กับตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลดีต่อจิตใจเราเท่านั้น แต่ยังสะท้อนออกมาภายนอก ทำให้เราเป็นคนที่มีความเมตตา น่าเข้าใกล้ และเป็นที่รักของคนรอบข้าง
การสละอารมณ์โกรธเป็นการฝึกฝนและเจริญเมตตาพรหมวิหาร อย่างแท้จริง การปฏิบัติอภัยทานนั้นเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับหลัก เมตตาพรหมวิหาร และ ปัญญา
"สร้างความสงบสุขภายใน" อานิสงส์ที่ชัดเจนที่สุดคือ ความสงบสุขภายใน เมื่อไม่มีความโกรธ ความพยาบาท จิตใจของเราจะโปร่งโล่ง เบาสบาย ไม่ต้องแบกรับภาระแห่งความทุกข์นั้นไว้ การที่ใจสงบย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพกายโดยรวม ลดความเสี่ยงของโรคที่เกิดจากความเครียด และช่วยให้เราสามารถมองเห็นปัญหาและหาทางแก้ไขได้อย่างมีสติ ไม่ใช้อารมณ์ตัดสิน
"เมตตาธรรมค้ำจุนโลก" เมื่อเราให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง จิตใจเราจะเต็มไปด้วยความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่ว่าเขาจะเคยทำสิ่งใดลงไป นี่คือรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เมื่อเราให้อภัย ใจเราจะเปิดกว้างยอมรับความบกพร่องของผู้อื่น และสามารถแผ่ความปรารถนาดีออกไปได้ แม้กระทั่งกับผู้ที่เคยทำไม่ดีต่อเรา นี่คือรากฐานของเมตตาที่แท้จริง ไม่เลือกปฏิบัติ และครอบคลุมสรรพสัตว์
"ปัญญาในการเข้าใจชีวิต" การให้อภัยยังสะท้อนถึง ปัญญา ที่เข้าใจในความเป็นจริงของชีวิต และกฎแห่งกรรม เราตระหนักว่าทุกคนล้วนมีอวิชชาและความไม่สมบูรณ์แบบ การยึดติดกับความโกรธไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาใดๆ แต่กลับยิ่งสร้างกรรมที่ไม่ดี การใช้ปัญญามองเห็นสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราปล่อยวางได้ง่ายขึ้น
"ตัดวงจรแห่งการจองเวร" พระพุทธองค์ทรงสอนว่า "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร" การสละอารมณ์โกรธเป็นทานจึงเป็นการ ตัดวงจรแห่งการจองเวร ไม่ให้ความขัดแย้งดำเนินต่อไปในภพชาติต่อไป เมื่อเราปล่อยวาง ไม่ผูกใจเจ็บ กรรมดีก็จะเกิดขึ้นแทนที่ เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงส่ง และนำมาซึ่งความสุขสงบอย่างแท้จริงทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
การให้อภัยไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องราวที่ฝังใจหรือก่อให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัย ความเพียร และ สติ ในการเฝ้ามองอารมณ์ตนเอง
"เริ่มต้นจากเรื่องเล็กน้อย" ฝึกให้อภัยในเรื่องที่ไม่สลักสำคัญในชีวิตประจำวัน เช่น การที่เพื่อนร่วมงานทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ หรือการที่ใครบางคนพูดจาไม่เข้าหู
"ทำความเข้าใจผู้อื่น" พยายามมองในมุมของอีกฝ่าย อาจมีเหตุผลหรือปัจจัยที่ทำให้เขาทำเช่นนั้น
"ระลึกถึงผลเสียของความโกรธ" เมื่อความโกรธเริ่มก่อตัว ให้เตือนตัวเองถึงผลกระทบด้านลบที่ความโกรธมีต่อจิตใจ ร่างกาย และความสัมพันธ์
"แผ่เมตตา" หมั่นแผ่เมตตาให้กับตนเอง และผู้อื่น ไม่ว่าจะเคยทำดีหรือทำไม่ดีต่อเรา การแผ่เมตตาจะช่วยให้จิตใจอ่อนโยนขึ้น และพร้อมที่จะให้อภัย
ในขั้นสูงสุดการสละอารมณ์โกรธเป็นทาน ถือเป็นหนึ่งในหนทางที่นำไปสู่การ ลดละกิเลส คือความโลภ โกรธ หลง การที่เราสามารถควบคุมและปล่อยวางอารมณ์โกรธได้นั้น แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งสติและปัญญาที่เพิ่มขึ้น เป็นการก้าวไปข้างหน้าบนเส้นทางแห่งการปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุถึงความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
นอกจากอานิสงส์ที่ได้กล่าวไปแล้ว การปฏิบัติอภัยทานยังนำมาซึ่ง "การพัฒนาจิตใจสู่ระดับสูง" การให้อภัยคือการก้าวข้ามอัตตา และความยึดมั่นถือมั่น เป็นการพัฒนาจิตใจให้เข้าใกล้ความบริสุทธิ์ "สร้างพลังบวกให้กับชีวิต" เมื่อใจปราศจากความขุ่นมัว พลังงานบวกจะเกิดขึ้นในตัวเรา ดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต และ "เป็นแบบอย่างที่ดี" ผู้ที่สามารถให้อภัยได้ย่อมเป็นแบบอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม
อภัยทานจึงเป็นมากกว่าแค่การกระทำ แต่เป็นวิถีแห่งการใช้ชีวิตที่นำพาเราไปสู่ความสงบสุขที่แท้จริง และเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโลกที่เต็มไปด้วยความเมตตาและสันติภาพ
คุณคิดว่าอะไรคือความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในการฝึกสละอารมณ์โกรธในชีวิตประจำวัน? - 001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี