ยังคงต้องติดตามกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปกับการตัดสินใจของชาวบ้านบางกลอยล่างกลุ่มหนึ่งที่อพยพกลับสู่ถิ่นที่อยู่เดิมในจุดที่เรียกว่า “บ้านใจแผ่นดิน” หรือบ้านบางกลอยบน ภายในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยเรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2564 ที่ผ่านมา และต้องบอกว่าเป็นการต่อสู้อันยาวนาน นับตั้งแต่ที่ชาวบ้านถูกกดดันให้ออกจากบ้านใจแผ่นดินในปี 2539 ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้มีการจัดเสวนาออนไลน์เรื่อง “จากกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยถึงอนาคตกฎหมายคุ้มครองวิถีชาติพันธุ์” โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และอดีตประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ กล่าวว่า บ้านใจแผ่นดินปรากฏในแผนที่ของไทย (หรือสยาม) มาอย่างน้อย 100-200 ปีแล้ว โดยขึ้นกับใน ต.สองพี่น้อง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ในยุคที่ยังไม่มี อ.แก่งกระจาน ต่อมาในปี 2512 ทางการไทยมีการจัดทำ “เหรียญชาวเขา” มอบให้กับชาวบ้านบางกลอยบน โดย “ปู่คออี้” โคอิ มีมิ (เสียชีวิตในวัย 107 ปี เมื่อปี 2561) แกนนำชาวกะเหรี่ยงใจแผ่นดิน ก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับเหรียญนี้ด้วย
“ในปี 2528 ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งดูแลทั้งกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี จนกระทั่งถึงประจวบคีรีขันธ์ ก็ได้เดินสำรวจบริเวณนี้ ขึ้นที่ทางจังหวัดราชบุรี ที่บ้านพุระกำ ก็มาออกทางแก่งกระจาน ใช้เวลาเดินสำรวจเกือบ 10 วัน ก็พบว่าทั้งปู่คออี้และชาวบ้านอยู่บริเวณใจแผ่นดินบางกลอยมาตลอด ก็มีภาพมีหลักฐานการสำรวจเป็นทางการครั้งแรกของรัฐ หลังจากการสำรวจเมื่อปี 2528 ในปี 2531 ก็มีการทำเอกสาร เรียกว่าโครงการสำรวจชาวเขา ทำเอกสารเรียกว่า ทร.ชข. ก็จะออกมายืนยันว่าชาวบ้านเป็นใคร
มีเอกสารรัฐรับรองชาวบ้านไว้ชุดหนึ่ง รัฐเก็บไว้อีกชุดหนึ่ง ซึ่งในการไปสำรวจครั้งนี้ก็เจอปู่คออี้ ระบุเลย นายคออี้ มีมิ เกิดปีไหนอย่างไร ปี 2454 เป็นคนที่นี่ มีชาวบ้านทั้งหมด สิ่งที่น่าสนใจคือพบว่าชาวบ้านค่อนข้างจะอยู่ห่างๆ กัน บริเวณใจแผ่นดินตรงนั้นสามารถแยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ก็มีกลุ่มบ้านใจแผ่นดิน 1 ใจแผ่นดิน 2 บริเวณบางกลอยบนซึ่งเขาเรียกว่าบางกลอยเฉยๆ ก็มีกลุ่มบ้านจำนวนมาก มากกว่าด้วย เท่าที่ผมจำได้สามารถแยกได้ 6 บางกลอย คือกลุ่มนี้บางกลอย 1 กลุ่มนี้บางกลอย 2 3 4 5 6 ของหย่อมบ้าน ซึ่งพบว่ามีชาวบ้านอยู่หลายร้อยคน” สุรพงษ์ ระบุ
สุรพงษ์ เล่าต่อไปว่า การย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่เดิมเริ่มต้นขึ้นในปี 2539 ซึ่งชาวบ้านประสบความยากลำบากในการใช้ชีวิตบนพื้นที่ใหม่ จากนั้นในปี 2553-2554 ชาวบ้านบางรายทนความลำบากไม่ไหว ตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านบางกลอยบนอันเป็นที่อยู่เดิม ขณะเดียวกันก็มีชาวบ้านบางส่วนยังปักหลักอยู่ที่บ้านบางกลอยบนอยู่ตลอดมา ไม่ได้ย้ายตามลงมาในช่วงเวลาที่มีการอพยพข้างต้น และทางการก็ไม่เคยว่าอะไร
ซึ่งในช่วงปี 2553-2554 นี้เองที่มี “ปฏิบัติการตะนาวศรี” ไล่รื้อและเผาทำลายบ้านเรือนชาวบ้านในพื้นที่บางกลอยบน นำไปสู่การลุกขึ้นต่อสู้เพื่อยืนยันในสิทธิชุมชนโดยมีปู่คออี้เป็นแกนนำ ในขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า
ชาวบ้านบุกรุกป่าจึงมีอำนาจขับไล่ ฝ่ายชาวบ้านก็แย้งว่าบ้านใจแผ่นดินเป็นชุมชนดั้งเดิมอยู่มานานแล้ว กระทั่งในปี 2561 ศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยว่า มีชาวบ้านอยู่ในพื้นที่บ้านใจแผ่นดินมานานแล้ว ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่รื้อถอนและเผาทำลายสิ่งปลูกสร้างจึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ
ขณะที่ พฤ โอ่โดเชา ตัวแทนชาวกะเหรี่ยง จ.เชียงใหม่ และผู้ประสานงานเครือข่ายชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ภาคเหนือ กล่าวว่า กรณีชาวบางกลอยที่แต่ละครัวเรือนได้รับการจัดสรรที่ดินทำกิน แต่เมื่อไปดูที่ดินแล้วพบว่าเป็นพื้นหิน หลายแปลงรถแบ๊กโฮก็ไม่สามารถตักขุดได้ส่วนที่ดินที่ขุดได้และทำเป็นนาขั้นบันไดก็ไม่มีแหล่งน้ำ ครั้นจะใช้เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ระบบพลังงานก็เสียบ่อยๆ ส่งผลกระทบไม่เพียงขาดแคลนน้ำทำการเกษตรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงน้ำอุปโภค-บริโภคในครัวเรือนด้วย
“ที่นาที่มีแค่นิดเดียว ทำให้ชาวบ้านแค่ไม่กี่ครอบครัวที่ได้ไปใช้ทำนา เพราะชาวบ้านไม่กี่ครอบครัวที่มีพื้นที่นาก็ข้าวไม่พอกิน จะต้องไปรับจ้าง อันนั้นชาวบ้านที่ถูกลงมาหลายรอบ รอบที่ 2 ก็ไม่มีการจัดสรรที่ดินให้ ล่าสุดในปี 2563 ก็มี คทช. (คณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) ที่ใช้โครงการของรัฐบาลที่ออกมาใหม่ โครงการจัดสรรที่ดินเขาก็ไปจัดสรรที่ เขาก็ดูในแปลงที่มันไม่มีต้นไม้ใหญ่หรือเป็นเครือพุ่มเลื้อย พอเขาไปจัดสรรที่ให้ประมาณ 20 กว่าแปลง แต่ที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่หมายความว่าในดินมันเป็นก้อนหิน พอเป็นก้อนหินชาวบ้านก็เปิดไม่ได้
แล้วที่ดินที่เขาให้ชาวบ้านตอนนี้เปิดได้แค่ 5 ราย20 ราย แล้วรายอื่นๆ ก็ไม่สามารถเปิดแปลงได้ เพราะว่าเขากลัวคนข้างนอกเวลาเห็นแล้ว โห!..ชาวบ้านเปิดแปลงที่ดินหรือ? ซึ่งการจัดการที่ดินแค่ 5 ไร่ 10 ไร่ หรือ 7 ไร่ให้กับ 1 ครอบครัว จากปกติไร่หมุนเวียนพอมาปลูกเป็นแปลงนาก็ใช้ต้นทุน แล้วก็ต้องปลูกพืชขายแล้วเอาเงินไปซื้อกิน ก็ตกเป็นเหยื่อของระหว่างทางขนไปขาย แล้วก็ปุ๋ย ยา พ่อค้าคนกลางอีก แล้วก็ตลาดไม่มีอีก มันไม่สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ในกระบวนการ ขั้นตอนการความจำเป็นอาหารการกินในการใช้ชีวิต” พฤ ระบุ
จากชะตากรรมของชาวบ้านบางกลอย สุนี ไชยรส นักวิชาการวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) ให้ความเห็นว่า ชาวบ้านมีสิทธิอย่างเต็มที่ในการกลับไปอยู่ในพื้นที่ใจแผ่นดิน ซึ่งตามคำวินิจฉัยของศาลปกครอง ได้กล่าวถึง มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 3 ส.ค. 2553 เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง (หรือพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ) ที่สาระสำคัญคือจะต้องปกป้องคุ้มครองวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น กะเหรี่ยง ชาวเล ฯลฯ ดังนั้นในเบื้องต้นจึงต้องกลับไปปฏิบัติตามมติ ครม. ดังกล่าว
นอกจากนี้ มติ ครม. ข้างต้น ต้องถูกยกระดับให้เป็นกฎหมาย ซึ่งขณะนี้กำลังมีการร่างกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง โดยมี 3 ร่างกฎหมาย เช่น เสนอโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร โดยคณะอนุกรรมาธิการเพื่อพิจารณาด้านผู้สูงอายุ ผู้พิการ และกลุ่มชาติพันธุ์ สภาผู้แทนราษฎร และโดยกลุ่มสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย และระยะยาวคือต้องทบทวนกฎหมายว่าด้วยป่าทั้งหมด เพราะกฎหมายป่าหลายฉบับยังล้าหลังและไม่ยอมรับสิทธิชุมชน
ซึ่งมีตัวอย่างแล้วที่ “บ้านพุเม้ยง์” ศูนย์วัฒนธรรมชุมชนกะเหรี่ยงบ้านภูเหม็น ต.ทองหลาง อ.ห้วยคต จ.อุทัยธานี จากที่เคยถูกประกาศเป็นพื้นที่อุทยานปัจจุบันก็กลายเป็นพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม และการที่มีต้นไม้ใหญ่ขนาด 31 คนโอบอยู่ในหมู่บ้านได้ ก็เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าวิถีกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ได้ทำลายป่าแต่อย่างใด!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี