“โครงข่ายระบบราง” เป็นความหวังที่จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยคาดว่า “เมื่อรถไฟฟ้า (ทั้งลอยฟ้าและใต้ดิน) สร้างเสร็จทั้งหมดตามแผนที่วางไว้ ประชาชนจะลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล” ซึ่งเมื่อปัญหาการจราจรติดขัดเบาบางลงแล้วยังส่งผลให้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 เบาลงด้วย อย่างไรก็ตาม “อัตราค่าโดยสาร” ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “แพงหูฉี่” คือ อุปสรรคสำคัญที่จะทำให้เป้าหมายดังกล่าวไม่เป็นตามที่คาดหวังไว้
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง“ค่าโดยสารรถไฟฟ้าหลากสี กับราคาที่ประชาชนต้องแบกรับ” โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซึ่ง สุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยและนโยบายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI กล่าวว่า หากดูอัตราค่าโดยสารในปัจจุบัน ปัญหาหลักคือ “ค่าโดยสารในแต่ละเส้นทางคำนวณแยกกัน” ซึ่งแต่ละเส้นทางจะมีสัญญาสัมปทาน ทำให้เส้นทางไหนมีระยะทางยาวค่าโดยสารเฉลี่ยจะถูก แต่เส้นทางไหนมีระยะสั้นค่าโดยสารเฉลี่ยจะแพง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ รถไฟฟ้าสายสีทอง ที่เพิ่งเปิดให้บริการไม่นานนี้ เป็นเส้นทางที่สั้นระยะทางไม่ถึง2 กิโลเมตร แต่เก็บ 15 บาทตลอดสาย ถ้าเฉลี่ยค่าโดยสารต่อกิโลเมตรจะตกอยู่เกือบ 8 บาทต่อกิโลเมตร จึงทำให้เห็นได้ชัดว่าเส้นทางไหนยิ่งยาวค่าโดยสารจะถูก โดยเส้นทางเฉลี่ยทั่วไปจะมีระยะทางประมาณ 25-30 กิโลเมตร โดยเกือบทุกเส้นทางรัฐบาลมีนโยบายกำหนดค่าโดยสารสูงสุดในระดับหนึ่ง เมื่อเฉลี่ยค่าโดยสารจากต้นทางถึงปลายทางจะประมาณไม่เกิน 2 บาทต่อกิโลเมตร
โดยปัญหาอยู่ที่ผู้โดยสารส่วนใหญ่เดินทางจะไม่เดินทางจากต้นทางถึงปลายทาง ถ้ารถไฟฟ้ามีลักษณะเป็นโครงข่ายมากยิ่งขึ้น จุดต้นทางและปลายทางอาจจะอยู่ในเส้นทางเดียวกันได้ หรืออาจจะอยู่หลายสายได้ จึงต้องเชื่อมต่อค่อนข้างมาก ซึ่งต้นทางและปลายทางจะต้องมีการเดินทางผ่านหลายสาย บางจุดหมายอยู่ในเส้นทางรถไฟฟ้าสายเดียวกัน บางจุดหมายต้องเดินทาง 2 สาย และบางเส้นทางต้องเดินมามากถึง 3 สาย
“จะเห็นได้ชัดเส้นไหนที่ต่อ 3 สาย เช่น เมื่อเดินทางจากใจกลางเมืองไปยังพื้นที่มีนบุรี จะมีค่าโดยสารเฉลี่ยสูงสุดถึง 108 บาท หรือเฉลี่ยต่อ 1 กิโลเมตรตกอยู่ที่ 3 บาทกว่า ถือว่าค่อนข้างแพงเมื่อเปรียบเทียบกับนั่งรถตู้โดยสารที่มีค่าโดยสารประมาณ 40-50 บาท จะเห็นได้ว่าค่าโดยสารจะส่งผลในทางเลือกในการเดินทางด้วย จึงทำให้ในอนาคตประชาชนต้องเผชิญค่าโดยสารที่ค่อนข้างแพงถ้าภาครัฐยังไม่ได้ดำเนินการที่จะแก้ไขปัญหานี้ตั้งแต่ก่อนเปิดตัว” สุเมธ กล่าว
ผอ.วิจัยและนโยบายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI กล่าวต่อไปว่า ปัญหาหลักของรถไฟคือ “สัญญาสัมปทานแต่ละสัญญาทำต่างกันต่างวาระ” เมื่อดูโครงสร้าง
ของสัมปทานปัจจุบันมีมากถึง 10 สัญญา ซึ่งแต่ละสัญญาจะมีเงื่อนไขการเก็บค่าโดยสารที่แตกต่างกันออกไป“ทำให้เกิดปัญหาเอกชนที่รับสัญญาแล้วรัฐบาลจะไปกำกับและควบคุมค่าโดยสารให้มีความสอดคล้องกันยาก” ถ้าสัญญาสัมปทานไม่ได้กำหนดตั้งแต่ต้นรัฐบาลต้องแก้สัญญาหรือต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับเอกชนที่รัฐบาลผิดเงื่อนไขสัญญา ซึ่งเป็นปัญหาที่เจอเกือบทุกสัญญาสัมปทาน
นอกจากนี้สัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็นสัญญาที่แยกจากกัน ส่งผลให้อัตราค่าโดยสารของหลักและส่วนต่อขยายต่างกัน ซึ่งพร้อมที่จะเกิดปัญหาในอนาคตได้เสมอถ้าไม่มีการนำสัญญาสัมปทานทุกสัญญามาพิจารณาร่วมกันในเรื่องของอัตราค่าโดยสาร จึงเสนอแนวทางการปรับปรุงแก้ไขอัตราค่าโดยสาร 2 แนวทาง คือ 1.ยกเว้นค่าแรกเข้าทุกโครงการ จึงจำเป็นต้องแก้ไขสัญญาสัมปทานและกำหนดค่าแรกเข้าให้ชัดเจน
กับ 2.ยกเว้นค่าแรกเข้าทุกโครงการและกำหนดเพดานค่าโดยสารสูงสุด เห็นได้จากในอดีตมีการหาเสียงเรื่องราคารถไฟฟ้าค่อนข้างเยอะ แต่ปัจจุบันเริ่มไม่ค่อยพบเห็นแล้ว จะเห็นได้ว่าปัจจุบันการกำหนดเพดานค่าโดยสารจำเป็นต้องพูดถึง แต่จะอยู่ที่ราคาเท่าไหร่ที่พอเป็นไปได้และกำหนดในสัญญาสัมปทานเข้าไป แล้วจะได้ดำเนินการร่วมกัน ซึ่งค่าแรกเข้าและโดยสารจะสะท้อนระยะทาง และถ้ากำหนดค่าโดยสารสูงสุดได้จะต้องแยกค่าโดยสารออกจากสัญญาสัมปทานทุกสัญญา และใช้ค่าโดยสารร่วมแทน
ขณะที่ สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ให้ความเห็นว่า “ต้องมองรถไฟฟ้าในฐานะขนส่งมวลชนขั้นพื้นฐาน” โดยหากย้อนไปดูการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าสายสีเขียวซึ่งเป็นสายแรกในประเทศไทย จุดประสงค์ในการสร้างคือต้องการให้ทุกคนได้ใช้งาน ดังนั้นรถไฟฟ้าจึงไม่ใช่บริการทางเลือก ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพฯ ที่อยู่ประมาณ 320 บาทต่อวัน ตัวอย่างเช่นค่ารถไฟฟ้าสูงสุดต่อเที่ยว 104 บาท หรือประมาณร้อยละ 30ของค่าแรงขั้นต่ำที่ได้ต่อวัน จะเห็นได้ว่าแทบจะไม่มีเงินใช้จ่ายภายในครอบครัว
“รัฐบาลต้องกำหนดให้รถไฟฟ้าเป็นบริการขนส่งมวลชน ไม่ใช่บริการทางเลือกสำหรับคนที่มีเงินเดือน 2.5 หมื่นบาทขึ้นไป การเดินทางในปัจจุบันถ้าคิดว่าได้รับความ
สะดวกสบายแสดงว่าไม่เป็นความจริง เห็นได้จากปัญหารถติดค่ารถไฟฟ้าก็แพง เพราะฉะนั้นควรทำไปสู่เป้าหมายว่าให้ทุกคนมีความทุกข์ในการเดินทางน้อยลง” เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าว
เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เสนอแนะว่า 1.สัญญาสัมปทานที่เก็บค่าโดยสารสูง สูงสุดถึง 104 บาท ซึ่งมีราคาสูงเกินไป รัฐบาลควรชะลอการปรับราคาแล้วสนับสนุนอย่างอื่นแทน และ 2.ทบทวนนโยบายในการแก้ปัญหา เห็นได้จากในต่างประเทศทำให้ราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าราคาถูกกว่าในไทย ซึ่งรัฐบาลควรนำสัญญาสัมปทานทุกสายมาทบทวนให้เกิดความเป็นธรรม
ซึ่งการที่ให้ชะลอการปรับราคาค่าโดยสารที่สูงถึง 104 บาท เพราะผิดมติของ ครม. และผิดกฎหมายของกรุงเทพมหานครที่การขึ้นราคาต้องให้สภากรุงเทพมหานครเป็นผู้ดูแล ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ และผู้บริโภค ควรมีการร่วมมืออย่างจริงจัง เพื่อให้คนหาเช้ากินค่ำได้ใช้งานรถไฟฟ้าได้ นอกจากนี้แล้วการที่ไม่คิดแบบโครงข่ายทำให้แยกส่วน ทำให้ไม่มีระบบส่งเสริมให้ผู้บริโภคได้ใช้บริการจริงๆ
ด้าน ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า เป็นคนหนึ่งที่เดินทางไปทำงานด้วยรถไฟฟ้า และตั้งข้อสังเกตว่า 1.ทุกครั้งที่นั่งรถไฟฟ้าทำไมต้องจ่ายแพง เช่น ถ้านับสถานีแบริ่งถึงสถานีสยาม จะมีสถานีน้อยกว่าจากสถานีอ่อนนุชถึงสถานีหมอชิต แต่จากแบริ่งถึงสยามมีราคาแพงกว่า ซึ่งเห็นได้ว่าการทำสัญญาสัมปทานไม่เคยนำความคิดของประชาชนกรุงเทพฯ เป็นที่ตั้ง แต่เป็นความคิดของผู้ทำสัมปทานเพียงฝ่ายเดียว
2.ไม่มีใครทำประโยชน์ได้เพราะรถไฟฟ้า เช่นในประเทศสิงคโปร์ จะพบว่าการทำรถไฟฟ้าคือการร่วมลงทุนกันเพื่อดึงประชาชนกลับเข้าเมือง เพราะประชาชนออกไปอยู่นอกเมืองมากกว่าในเมือง ถ้าหากเมืองไม่มีรถไฟฟ้าเมืองจะมีความเสื่อมถอย โดยเงื่อนไขของการศึกษาการทำรถไฟฟ้านั้นจะไม่มีแค่ความยุติธรรมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูมูลค่าของที่ดินว่าได้ประโยชน์มากน้อยเพียงใด
3.ผู้ว่าราชการกรุเทพมหานครต้องมีความยืดหยุ่น ซึ่งต้องการคณะกรรมการหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน กำหนดระบบการขนส่งทั้งระบบ เพื่อ
แก้ปัญหาสัญญาสัมปทานที่เกิดขึ้น 4.ทำอย่างไรให้การหารายได้ที่นอกเหนือจากการเก็บค่าโดยสาร ให้เป็นรายได้หลักของรถไฟฟ้า เพราะหากทำไม่ได้จะเป็นภาระของผู้ที่ประมูลสัมปทาน เปรียบเทียบอย่างต่างประเทศ สถานีจะมีร้านค้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่างจากประเทศไทยที่ไม่มี
และ 5.ผู้บริหารมีส่วนทำให้ค่าโดยสารถูกหรือแพงเห็นได้จากงานวิจัยของประเทศฝรั่งเศสที่คำนวณในหลายๆ เมืองภายในประเทศ พบว่าถ้าผู้บริหารเมืองมาจากฝ่ายก้าวหน้าจะมีค่าโดยสารถูกกว่าผู้บริหารเมืองที่มาจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งก็ไม่ได้ต่างกันมากนักแต่เห็นได้ชัด ยิ่งถ้ามีพวกที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมจะยิ่งถูกลง จึงทำให้ผู้บริหารต้องคิดคำนวณถึงราคาที่ดินและความรับผิดชอบของเอกชนด้วย!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี