หากเป็นสถานการณ์ปกติ ในช่วงวันวาเลนไทน์แบบนี้บรรยากาศทั่วโลกก็จะเป็นไปอย่างคึกคัก ผู้คนต่างแสดงความรักต่อกันและกัน มีการมอบดอกไม้และของขวัญให้กัน มีข่าวสารความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวันแห่งความรักออกมาอย่างต่อเนื่อง
แต่ในช่วงเวลา 14 กุมภาพันธ์ ปีนี้ อาจจะดูเงียบเหงากว่าทุกๆ ครั้ง เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ที่ทำให้หลายคนต้องใช้ชีวิตวิถีใหม่ แบบ New Normal ซึ่งก็ต้องปรับเพื่อให้ห่างไกลจากโรคร้ายที่กำลังคุกคามโลกของเรา
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ที่เดอะฮอลล์ กรุงเทพฯ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา(ศวส.) ร่วมกับ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดเสวนาเนื่องในโอกาสวันวาเลนไทน์ หัวข้อ“เด็กของเรา...เรื่องเหล้าเรื่องเพศ” ภายในงานมีการจำลองเหตุการณ์จริงในครอบครัวนักดื่ม จนถึงวันที่ท้องไม่พร้อมและผลกระทบรุนแรงชุด“หัวอกลูก...ในสงครามชีวิตน้ำเมาของพ่อแม่” โดยทีมเฉพาะกิจเธียเตอร์
พญ.วิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิต 13 กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ค่านิยมวาเลนไทน์ มักจะมีเรื่องเลิฟกับเซ็กซ์เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญให้เกิดเซ็กซ์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นตัวที่ทำให้การดูแลตัวเอง การยับยั้งชั่งใจลดลง เช่น พากันไปเที่ยวปาร์ตี้ ดื่มเหล้า ตกไปอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เกิดมีเพศสัมพันธ์ ผลกระทบตามมามากมาย ทั้งติดเชื้อท้องไม่พร้อม จากสถิติพบว่า คนที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อมมักจะดื่มเหล้าตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งเด็กได้เห็นพฤติกรรมของคนในครอบครัวดื่ม ยิ่งทำให้เกิดความเคยชิน พออายุ 18 ปี จะรู้สึกว่าโตแล้ว ดื่มเหล้าได้แล้ว
พญ.วิมลรัตน์กล่าวว่า วัยรุ่นมีภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้นชัดเจน สิ่งที่เขามักใช้แก้ไขปัญหาคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดังนั้นการจัดการควรทำร่วมกันทุกภาคส่วน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ควรให้เด็กมีความเข้มแข็งทางจิตใจ เชื่อมั่นในตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง เวลาเจอปัญหาสามารถจัดการได้
“นอกจากนี้ครอบครัวก็มีส่วนสำคัญในการสนับสนุน ให้เวลาพูดคุย ชื่นชม ปรับทุกข์ ส่วนชุมชน โรงเรียนต้องเข้มแข็ง มีระบบดูแลช่วยเหลือเฝ้าระวัง สำหรับวาเลนไทน์ปีนี้อยากเตือนวัยรุ่นทุกคนว่า อย่าเอาตัวไปอยู่ในจุดที่เสี่ยง สถานที่ลับตาคน ฝึกปฏิเสธให้เป็น ต้องรู้จักเซฟเซ็กซ์ และไม่ควรมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปยุ่งเกี่ยว” พญ.วิมลรัตน์ กล่าว
ทางด้าน ซินดี้-สิรินยา บิชอฟ ดารานักแสดง ได้มาแชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกให้เข้าใจเรื่องเพศ โดยระบุว่า ในฐานะที่เป็นคุณแม่ลูกสอง ซึ่งลูกกำลังโตนั้น จะเน้นสอนบนพื้นฐานความเข้าใจ ให้อิสระตัดสินใจ สอนมารยาท การให้เกียรติ เข้าใจในสิทธิของร่างกายตัวเองและเคารพสิทธิทางร่างกายของคนอื่น จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ต่างกัน หรือแม้แต่ความเข้าใจพัฒนาการทางเพศ ซึ่งเห็นเลยว่ามันเกี่ยวกับการที่เราสอนลูก การเลี้ยงลูกจะปลูกฝังให้อยู่ในตัวลูกๆ ไปทุกที่ คนคนหนึ่งจะโตขึ้นมาไปกระทำความรุนแรงกับคนอื่นมาจากการเลี้ยงดูด้วย
“ถ้าพ่อแม่ปลูกฝังให้ลูกเข้าใจการเคารพสิทธิของคนอื่น อาจจะลดปัญหาหรือแก้ปัญหาไปได้ อยากให้พ่อแม่ทุกคนพูดคุยกับลูกให้มากๆ อย่าอายที่จะพูดคุยเรื่องเพศและเรื่องการเคารพสิทธิเนื้อตัวทางร่างกาย โดยไม่ต้องรอให้เป็นหน้าที่ของครูหรือหมอ โลกเปลี่ยนเร็วมาก ฉะนั้นพ่อแม่ต้องปรับตัวเอง
ดารานักแสดงสาวรายนี้ ยังได้เขียนหนังสือเด็ก นำเสนอในรูปแบบการ์ตูน ที่พูดถึงสิทธิในร่างกายของตัวเอง สอนให้เรียนรู้เรื่องร่างกาย เคารพตัวเอง และยอมรับในตัวตนของผู้อื่น หนังสือเล่มนี้ถือเป็นเครื่องมือในการพูดคุยกับลูกตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้เขาดูแลความปลอดภัยของเขาได้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคน
ขณะที่ นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า อยากฉายภาพให้เห็นเรื่องความรักเรื่องเพศและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มันมีความสัมพันธ์และไปด้วยกัน ที่ผ่านมาค่านิยมแบบชายเป็นใหญ่ จะกำหนดความรักความสัมพันธ์กับผู้หญิง เช่น สร้างเงื่อนไขต้องมีรูปร่างหน้าตาดี ผอม สวย หุ่นดี ลักษณะบริโภคนิยม ซึ่งมันถูกกำหนดโดยผู้ชายที่มีอำนาจเหนือกว่า กำหนดความรักให้ผู้หญิงต้องเป็นแบบนี้ มักพุ่งความสัมพันธ์ไปที่เรื่องเพศก่อน ส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น จัดงานเลี้ยงมอมเหล้าหญิง สร้างเงื่อนไขทำให้ผู้หญิงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ นำไปสู่การคุกคามล่วงละเมิดทางเพศในที่สุด ก่อนหน้านี้มีข่าวทางสื่อมวลชนอยู่บ่อยๆ เรื่องการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์รวมถึงสารเสพติด เพื่อกระตุ้นและล่อลวงไปสู่การมีเพศสัมพันธ์
“หลายกรณีมาจากการดื่มเหล้า ใช้เป็นเครื่องมือนำไปสู่การถูกคุกคามทางเพศ ถูกข่มขืนโดยผู้ชายที่ใช้อำนาจเหนือกว่าเป็นคนกำหนด สะท้อนจากการรวบรวมข่าวความรุนแรงทางเพศทางปี 2562 ที่ผ่านมา พบถึง 9 ข่าว กรณีที่แฟน/อดีตแฟน ใช้การบังคับและหลอกไปข่มขืน ปัจจัยกระตุ้นมาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดังนั้น สิ่งที่อยากเสนอให้เป็นทางออกคือ ต้องมีหลักสูตรให้ความรู้ รณรงค์เกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศ การคุกคามทางเพศเป็นเรื่องที่ผู้หญิงต้องรู้และต้องให้ความสำคัญ ควรมีหลักสูตรทุกระดับ ตั้งแต่ประถมศึกษา มัธยม มหาวิทยาลัย ตลอดจนในครอบครัวก็ต้องสร้างการเรียนรู้ในเรื่องนี้ด้วย” นายจะเด็จ กล่าว
หนึ่งในผู้ที่มาแชร์ประสบการณ์ชีวิตคือ นางสาวบี (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี เล่าว่า ช่วงอายุ 18 ปี ตอนที่เป็นคุณแม่วัยใส ตอนนั้นคบกับแฟนที่เจอกันในร้านเหล้า เกเร ไม่เรียนต่อ หางานรับจ้างรายวันทำ พอเลิกงานก็ดื่มเหล้ากับแฟน เมาหลังเลิกงานทุกวัน ทะเลาะกับคนข้างบ้านประจำ ใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอด รู้ตัวอีกทีก็ตั้งครรภ์ได้ 2-3 เดือน ถึงมาหยุดดื่มส่วนแฟนเริ่มไม่ใส่ใจดูแล ไม่ทำงาน เอาแต่เมาเหล้าหาเรื่องทะเลาะตบตีทุกวัน หลังจากคลอดลูกได้ไม่นาน ก็เลิกรากันไปเพราะทนพฤติกรรมทำร้ายร่างกายไม่ไหว
“ชีวิตแม่วัยใส กว่าจะผ่านมาได้มันยากลำบากมาก นอนร้องไห้ทุกวันต้องทำงานทุกอย่าง ทั้งเป็น รปภ. ทำงานกระเป๋ารถเมล์ ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกเพราะพฤติกรรมการดื่ม ทำให้เขาเป็นเด็กสมาธิสั้น พัฒนาการช้า ทุกเดือนต้องไปโรงพยาบาลเพื่อรับยาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เราเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ทำทุกอย่างเพื่อลูกอยากฝากถึงวัยรุ่นให้มีสติ รักตัวเอง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหล้า ยา และอบายมุขเพราะมันทำลายชีวิต ทำลายอนาคตเราจริงๆ” นางสาวบี กล่าว
นอกจากงานเสวนาดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ นั่นคือ ผลสำรวจพฤติกรรมวันวาเลนไทน์ปีนี้ ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งจากการสำรวจตัวอย่าง 1,234 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ พบข้อมูลที่น่าสนใจคือ ความคิดเห็นเกี่ยวกับคู่รักกลุ่มใดที่มีการฉลองวาเลนไทน์ โดยการมีเพศสัมพันธ์ แยกตามช่วงอายุ ผลสำรวจส่วนใหญ่มองว่า กลุ่มนักศึกษา จะมีเพศสัมพันธ์มากที่สุด เฉลี่ย 41.4% แต่เมื่อเจาะลึกลงไปมีข้อมูลที่น่าสนใจ ผู้ตอบแบบสอบถามกลุ่มช่วงอายุ 15-19 ปี มองว่า กลุ่มนักเรียน เป็นกลุ่มที่มีการฉลองวาเลนไทน์ โดยการมีเพศสัมพันธ์มากที่สุด
ส่วนผลสำรวจทัศนะต่อปัญหาเด็ก และเยาวชนเมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน กับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผลสำรวจพบว่า ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (ใส่ถุงยางอนามัย) รุนแรงมากขึ้น สัดส่วนการตอบสูงถึง 53.1%, ปัญหาล่อลวงทางโซเชียล รุนแรงขึ้น 48.2%, การล่วงละเมิดทางเพศจากคนใกล้ชิด 45.2%, ตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน 43.2%, คลอดแล้วทิ้ง 42.5%
เมื่อมองเห็นปัญหา รู้ถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นตามมารวมทั้งแนวทางป้องกันแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่า จะหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากปัญหานี้ได้อย่างไร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี