การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2564 ที่มีมติเพิ่มค่าอาหารกลางวันนักเรียนขึ้นอีก 1 บาท กลายเป็นข้อเถียงและพูดถึงกันมากในสังคมว่าเพียงพอหรือไม่ แต่สำหรับมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ สง่า ดามาพงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มองเรื่องอาหารกลางวันของเด็กที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไม่ได้มาจากเรื่องของตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาที่ถูกซ่อนอยู่ในภูเขาน้ำแข็งมานานแล้ว
1.ความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพและพอเพียงของเด็กวัยเรียน โดย 4 หน่วยหลัก อย่าง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และ สสส. ได้พยายามร่วมกันแก้ไขปัญหาเรื่องนี้มาตลอด แต่ที่ผ่านมาจะมองกันที่ตัวเงินเป็นหลัก ว่าถ้าเงินไม่พอก็แก้ปัญหาเรื่องความเสมอภาคและการเข้าถึงอาหารของเด็กไม่ได้ ด้วยเหตุนี้กระทรวงศึกษาธิการจึงได้เสนอ ครม. ขอขึ้นค่าอาหารเป็น 24-36 บาท โดยคิดตามขนาดโรงเรียน เล็ก กลาง ใหญ่ โดยขนาดเล็กได้ 36 บาท กลางได้ 30 บาท และใหญ่ได้ 24 บาท
แต่อาจเป็นเพราะรัฐบาลมีหลายปัญหาที่ต้องใช้งบประมาณในการแก้ไข จึงได้อนุมัติเพิ่มขึ้นค่าอาหารกลางวันจาก 20 บาทต่อคนต่อวัน เป็น 21 บาท อย่างไรก็ตาม “แม้จะรู้ว่า 21 บาท ไม่พอแน่นอน แต่ควรมองไปถึงเรื่องของกลไกการจัดการ” มองปัจจัยด้านอื่นๆ เช่น เด็กกินอาหารไม่พอ ปริมาณหรือคุณภาพอาหารไม่ดี ส่งผลให้ศักยภาพของเด็กในการเรียนหนังสือด้อยลง
“ผลสอบตกต่ำเพราะโภชนาการไม่ดี มีผลวิจัยรองรับ ซึ่งครูบางคนไม่ทราบ แต่นักวิชาการและนักโภชนาการมองเห็นปัญหาเรื่องนี้มานานแล้ว” การที่เด็กได้กินอาหารไม่พอ บ่งบอกว่า ความเสมอภาคทางด้านอาหารไม่ทั่วถึง จะส่งผลระยะยาว เมื่อเด็กโตเป็นผู้ใหญ่คุณภาพคนในชาติก็จะแย่ GDP ของประเทศต่ำ แพ้ประเทศอื่นๆ เพราะคนด้อยคุณภาพจากโภชนาการไม่ดี กลายเป็นผลกระทบต่อสังคมและประเทศชาติ
2.ความด้อยโอกาสของเด็กนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาส ซึ่งส่วนใหญ่ 90% จะอยู่ในถิ่นกันดาร และมักจะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่เปิดให้มีมัธยม 1-3 ในโรงเรียน เพื่อให้เด็กต่างจังหวัดได้เรียนจนจบ ปัญหาที่พบในโรงเรียนขยายโอกาส คือ เด็กโต ไม่มีอาหารกลางวันกิน แต่ทางโรงเรียนมักจัดการ เพื่อให้เด็กมัธยมได้รับประทานด้วย จึงเกิดผลกระทบทั้งโรงเรียน เพราะคุณภาพอาหารกลางวันเด็กประถมลดลง พี่ได้กินแต่ก็ไม่อิ่ม ส่งผลให้ได้ทานอาหารกลางวันแบบไม่มีคุณภาพทั้งพี่และน้อง
3.คุณภาพอาหารไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่อยู่ที่แม่ครัว ครูผู้อำนวยการโรงเรียน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บุคคลกลุ่มนี้มีความฉลาดรอบรู้ด้านโภชนาการต่ำ ขาดทักษะ องค์ความรู้ เพื่อจะทำอาหารให้เด็กนักเรียนกินอย่างถูกต้อง แม้จะมีระบบThai School Lunch เข้าไปใช้ แต่ก็อาจจะใช้แบบผิดๆ ถูกๆ เพราะไม่มีคนที่มีความรู้จริงด้านโภชนาการอยู่ที่โรงเรียนหรือในท้องถิ่นนั้นๆ ดังนั้นประเทศไทยควรมีนักโภชนาการท้องถิ่น เพื่อแนะนำอาหารการกินให้คนในชุมชน
และ 4.กลไก ระบบ ระเบียบที่มนุษย์สร้างขึ้น แล้วไม่เอื้อต่อการที่นำเงินในท้องถิ่นที่มีอยู่มาทำให้เด็กได้เข้าถึงอาหาร เนื่องจากมีกฎ ระเบียบ หลายตัวไม่เอื้อให้โรงเรียน กับ ท้องถิ่นทำงานประสานกัน เช่น ตำบลหนึ่งมีโรงเรียนขยายโอกาสอยู่ 2 โรงเรียน แต่กฎระเบียบไม่เอื้อให้ท้องถิ่นสามารถนำเงินมาอุดหนุนค่าอาหารกลางวันในโรงเรียนขยายโอกาสได้ รวมไปถึงเรื่องการจัดจ้างนักโภชนาการก็ยังไม่ชัด จ้างแล้วต้องจะโดนตรวจสอบไหม
“กฎระเบียบการโอนเงินมีปัญหา จากรัฐบาลกลางส่งให้กระทรวงมหาดไทย มหาดไทยส่งให้ท้องถิ่น ท้องถิ่นส่งให้ อบต. หลังจากนั้น อบต. ต้องรอให้โรงเรียนเขียนโครงการเข้ามาขอเงินว่าเด็กขาดอาหารกี่คน กว่าจะได้เงินก็หมดเทอมพอดี เงินล่าช้า และนี่คือปัญหาที่เกิดจากกฎระเบียบที่ไม่ได้ถูกแก้ไข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และสสส. ต้องจัดเวทีเพื่อแก้ปัญหา และหาทางออกร่วมกัน” สง่า กล่าว
ปัญหานี้เหล่านี้ ต้องยอมรับว่าผลกระทบก็คือเด็กและครู “โรงเรียนขนาดเล็กเมื่อได้ค่าอาหารต่อหัวต่ำ บางวันครูก็เอาเงินตัวเองไปใส่เพิ่ม เพราะกลัวว่าลูกศิษย์จะไม่อิ่ม” อย่างเช่นที่ โรงเรียนบ้านดอนผอุง ต.คูเมือง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เป็นโรงเรียนขนาดเล็กมีนักเรียนเพียง 35 คน เท่ากับว่าการขึ้นค่าอาหารกลางวันเป็น 21 บาท โรงเรียนแห่งนี้จะได้เงินเพิ่มอีก 35 บาทเท่านั้น โดย ส.ต.ท.กฤสพัฒฐ์ พิมพ์เพ็ง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านดอนผอุง ยอมรับว่า แม้จะเพิ่มขึ้นแต่ก็คงซื้ออะไรได้ไม่มาก ซึ่งที่ผ่านมานั้น ทางโรงเรียนได้ใช้หลักการพึ่งพาตนเองส่วนหนึ่งด้วย
ผอ.รร.บ้านดอนผอุง ระบุว่า จำนวนเงิน 20 บาทต่อคนต่อวัน ไม่เพียงพอต่อนักเรียนมานานแล้ว เมื่อขยับเป็น 21 บาท ก็คงไม่เพียงพออีกเช่นกัน โดยก่อนหน้านั้น ทางโรงเรียนเคยใช้วิธีจ้างแม่ครัววันละ 200 บาท เหลือเงิน 500 บาท เมื่อนำมาคำนวณเฉลี่ยแล้วเด็กๆ จะได้ไม่ถึง 20 บาทต่อคน จึงแก้ปัญหาด้วยการปลูกข้าวทานเอง ปลูกผักตามฤดูกาล ปลูกไม้ผล เลี้ยงปลา เพื่อให้มีเนื้อสัตว์ สามารถเก็บมาทำได้อาหารได้เพียงพอทุกวัน
ดังนั้นจึงเน้นการซื้อวัตถุดิบมาทำ โดยเอาในแปลงของโรงเรียนเป็นตัวเสริม ยกเว้นข้าวที่ปลูกกินเองได้เต็มที่ เมื่อถึงขั้นตอนการเตรียมอาหาร ก็ให้ครูกับนักเรียนจัดเวรเพื่อทำอาหารกลางวันกัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจ้างคนทำครัว ทำให้มีเงินเหลือมาซื้อวัตถุดิบทำอาหารแต่ละวัน แต่ผลเสียคือ ครูและนักเรียนต้องเสียเวลาในการเข้าครัวเตรียมอาหาร แต่ก็ต้องยอมรับในจุดนี้เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
“ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่า การอุดหนุนอาหารกลางวันเด็กจาก 20 บาท เป็น 21 บาท ไม่ได้ช่วยอะไร การอนุมัติแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะไม่เคยได้เห็นพื้นที่จริง จึงไม่ทราบปัญหาว่าเป็นอย่างไร สำหรับผมไม่กล้าเสนอแนะอะไร คงต้องดำเนินการและจัดการแก้ไขในพื้นที่รับผิดชอบของตัวเอง เพื่อให้เด็กกินอิ่ม ได้อาหารมีคุณภาพตามที่ตัวเองต้องจัดการต่อไป” ส.ต.ท.กฤสพัฒฐ์ กล่าว
อีกด้านหนึ่ง จงกลนี วิทยารุ่งเรืองศรี ผู้จัดการโครงการศูนย์เรียนรู้ต้นแบบโรงเรียนเด็กไทยแก้มใส สถาบันสร้างเสริมวิถีบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ เสนอแนะว่า กรณีโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนมากกว่า 200 คน ไม่ควรขึ้นค่าอาหารกลางวัน แต่ควรดูแลโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยกว่า 200 คน โดยกำหนดขึ้นค่าอาหาร ลดหลั่นกันไป หรือจะใช้สูตรแยกคิด โดยดึงค่าใช้จ่ายประจำออกมาก่อน เช่น ค่าแม่ครัว ค่าแก๊ส ค่าน้ำยาล้างจาน ค่าฟองน้ำล้างจาน เป็นต้น จะได้ประมาณ 400 บาทต่อโรงเรียน แล้วจึงมาคิดค่าวัตถุดิบ เช่น ค่าวัตถุดิบล้วนๆ 25 บาทต่อคน ก็อาจจะเพียงพอ
อีกข้อเสนอแนะหนึ่ง คือ ควรนำงบไปอุดหนุนโรงเรียนขยายโอกาสที่มีนักเรียนมัธยมต้นด้วย เนื่องจากโรงเรียนเหล่านั้นได้จัดจ้างแม่ครัวมาประกอบอาหารกลางวันอยู่แล้ว การเพิ่มค่าวัตถุดิบเผื่อไปให้นักเรียนมัธยม เด็กๆ จะได้ทานอาหารอย่างมีคุณภาพ และยังสร้างโอกาสให้นักเรียนยากจนได้มีโอกาสเรียนต่อจนจบภาคบังคับ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี