ข่าวดีของประเทศเพื่อนบ้านครับ
นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มุฮ์ยิดดิน ยัซซิน จะได้รับการฉีดวัคซีนเป็นคนแรกของประเทศในวันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์นี้
หลังจากนั้นอีก 5 วัน จะเริ่มฉีดให้ประชาชน
ส่วนประเทศคู่แข่งอย่างสิงคโปร์เรือนเคียง เขาไปไกลก่อนตั้งแต่ปลายธันวาคมได้ทดลองฉีดเข็มแรกให้ นางซารา ลิม พยาบาลอาวุโส วัย 46 ปี เธอเป็นบุคลากรแนวหน้าที่คอยคัดกรองผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อ
การฉีดวัคซีนแต่แรกๆ เป็นคนต้นๆ ถือว่ามี “ความเสี่ยง” แต่เธอก็ให้สัมภาษณ์น่ารักว่า “อยากปกป้องตนเอง คนที่รัก คนไข้ และสาธารณชน”
ตัวนายกฯ ลี เซียน ลุง ผู้นำที่โดดเด่นที่สุดในภูมิภาคนี้ ฉีดตามหลังมาติดๆ พร้อมกับ ผอ.เคนเนธ แม็ค สำนักแพทย์ โดยฉีดที่ รพ.ใหญ่เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวสิงคโปร์ ซึ่งจะว่าไปส่วนใหญ่เป็นคนจีนและมีความเชื่อที่ไม่ค่อยเหมือนใคร อย่างตอน COVID-19 เริ่มระบาดต้นปีก่อน ใครใส่ MASK กลับได้รับความรังเกียจ แถมเชื่อว่า “คนป่วยเท่านั้นที่ต้องใส่ คนไม่ป่วยไม่ต้อง”
ผู้นำสิงคโปร์ จึงนอกจากจะต้องมี “ปัญญา” (ระดับจบ RAFFLES / OXFORD / CAMBRIDGE)ยังต้องมี “สุนทรพจน์ สุนทรวาจา” โน้มน้าว “ผู้คน”
จะมา “โวยวาย เอะอะมะเทิ่ง โหวกแหวก”ต่อหน้า “สาธารณชน” อย่าง “ผู้มีอำนาจ” บางประเทศคงไม่ได้
ที่สิงคโปร์ รัฐบาลเขาให้ “ฉีดฟรี” ครับ และให้“ฉีด” โดย “ความสมัครใจ”
ที่น่าสนใจมากคือ นายกฯ ลี เซียน ลุง ของสิงคโปร์ อายุ 68 ปีแล้วครับ นับอายุก็น้อยกว่านายกฯ สมเด็จฮุนเซน แห่งกัมพูชาไม่มากแต่ ลี เซียน ลุง ยอมฉีด ขณะที่ สมเด็จฮุนเซนตอนแรกขึงขังขอฉีดเป็นคนแรกของเขมร เอาเข้าจริงกลับถอย ขอส่งลูกชาย พลโทฮุนมาเน็ต เข้าทดลอง ฉีดกันที่สำนักนายกรัฐมนตรี
โลกสากลของเราทุกวันนี้ ได้พัฒนาความเป็น “วิทยาศาสตร์” มากขึ้น ในประเทศไทยถือว่า “โชคดี” แม้ “ราษฎร” ส่วนหนึ่งยังพึ่ง“หวย” เชื่อในการขูดหาตัวเลขกราบไหว้ต้นไม้-สัตว์พิสดาร ฯลฯ แต่ “วิทยาศาสตร์” ก็ยังเดินหน้าได้โดยเฉพาะทางการแพทย์ จากสมัยโบราณที่พึ่ง “ไสยศาสตร์” หรือแม้จะพึ่ง “แพทย์แผนโบราณ” ก็ยังลำบาก “เพราะมีความอิจฉาริษยา ซึ่งกันและกันไม่อยากร่วมมือทำงานด้วยกัน ต่างไม่ยินดีเผยความรู้แลกเปลี่ยนกัน กลับถือเป็นความลับ”(เจ้าชีวิต : พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์)
เรียกว่า “หวงวิชา”
การแพทย์ไทยที่ได้เจริญมาจวบจนปัจจุบันต้องถือเป็นผลงาน “เจ้าไทยและหมอฝรั่ง”
ในรัชสมัยในหลวงรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ได้เกิดโรคระบาด “อหิวาตกโรค”เป็นที่มาของพระราชพิธีอาพาธพินาศ ยิงปืนใหญ่รอบกำแพงพระบรมมหาราชวัง 1 คืน ขับไล่ยักษ์มาร ภูตผีปีศาจ หยุดยั้ง “ห่ากินเมือง”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงศีล ทรงให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ฯลฯ ทุกคนงดกิจราชการ ให้ตั้งใจทำบุญสวดมนต์ให้ทาน ประชาชนรักษาศีลอยู่แต่ในบ้าน ฯลฯ
เจ้านายพระองค์หนึ่ง (กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์) มิเพียงสนพระทัยในพิธีปลอบขวัญราษฎร หากยังสนพระทัยวิชาการที่จะมาพิชิตโรค... ทรงได้ยินข่าวว่าอังกฤษมียาที่จะป้องกัน “โรคฝีดาษ”...กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ใคร่จะทรงทราบว่า ถ้าทางสยามขอร้องไป ผู้สำเร็จราชการอังกฤษในอินเดียจะส่งผู้ชำนาญมาสอนคนไทยให้ใช้ยาป้องกันโรคฝีดาษนี้ได้หรือไม่
น่าจะถือว่าเป็นการริเริ่ม “ปลูกฝี” ป้องกันโรคเป็นครั้งแรกในสยามประเทศ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เกิดโรคระบาดใหญ่อีกเช่นกัน มีผู้กราบบังคมทูลฯ ให้ใช้พระราชพิธีอาพาธพินาศมาปราบ “ห่า”
หากในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยว่า “..พระราชพิธีนี้อาจไม่มีผลทางการแพทย์ แต่ก็ช่วยระงับความกังวลใจให้แก่ประชาชนในยามทุกข์....”
ทรงแสดงพระปรีชาญาณว่า...สวดมนต์ปัดเป่าโรคภัย มิใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนไว้โรคภัยไม่ได้เกิดขึ้นจากผี แต่เกิดจากธรรมชาติ ดิน ฟ้า อากาศ และการประพฤติอยู่กินของมนุษย์...”
เป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่โปรดฯ ตั้งกรรมาธิการสาธารณสุข 9 ท่านซึ่งประกอบด้วย เจ้านายในพระราชวงศ์ ข้าราชการชั้นขุนนาง และแพทย์ฝรั่งประจำพระองค์(DR.PETER COWAN) ในปีพ.ศ.2429
ได้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลโรงแรก (รพ.ทดลองที่ธนบุรี) โดยอยู่ในความรับผิดชอบของพระองค์เจ้าศรีเสาวภางค์ (พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4) เจ้านายพระองค์นี้ทรงขยายงานสาธารณสุข ทรงจัดการปลูกฝีเพื่อกันโรคฝีดาษ ทรงจัดตั้งโรงพยาบาลโรคจิต ฯลฯ
งานพระเมรุใหญ่ๆ ของ “เจ้านาย” สำคัญ ในหลวงทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอย่างมาก และพระราชกุศลสำคัญที่ทรงบำเพ็ญคือ พระราชทานทุนเพิ่มเติมทุนของโรงพยาบาลที่มีอยู่น้อยนิด
ให้เติบโต ทำงานต่อไปได้มั่นคง
โรงพยาบาลศิริราชได้จากพระราชกุศลที่ทรงบำเพ็ญงานพระเมรุ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์
ต่อมามีโรงเรียนการแพทย์แผนใหม่ การเจริญทางการแพทย์ไทยได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ ROCKEFELLER และเจ้าฟ้ามหิดล
พระองค์ทรงเป็นพระราชบิดาแห่งการแพทย์-สาธารณสุขไทย “บารมีพระมากพ้น รำพัน”
กฤษณ์ ศิรประภาศิริ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี