“การเรียนรู้” คือสิ่งสำคัญสำหรับเด็ก ที่จะต้องส่งเสริมให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อให้เขาได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี โดยมีสื่อมากมายหลายอย่างที่เกี่ยวพันกับการเรียนรู้ของเด็ก
“การ์ตูน” ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งแม้ว่า ในบางมุม การ์ตูนอาจจะถูกมองว่า เป็นสื่อที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ยึดโยงกับความจริง เน้นที่ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน แตกต่างจากหนังสือแบบเรียน
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการ์ตูน เป็นสื่อที่เข้าถึงจิตใจของเด็ก และมีอิทธิพลต่อความคิดของเด็กมาก เพราะทำให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ช่วยเปิดจินตนาการของเด็ก โดยวัยเด็กของแทบทุกคนล้วนต้องเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการ์ตูนไม่มากก็น้อย ผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จหลายต่อหลายคน เติบโตมากับการ์ตูน
ด้วยความสำคัญของการ์ตูนที่มีอยู่มากมาย ทำให้มีความพยายามที่จะผลักดันให้เด็กๆ ได้รับประโยชน์จากการ์ตูนอย่างเป็นรูปธรรม ให้เห็นผลอย่างเต็มที่
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา ที่โอลด์ทาวน์แกลเลอรี่แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. ร่วมกับ เครือข่ายการ์ตูนไทยสร้างสรรค์สังคม สมาคมการ์ตูนไทย สถาบันอุทยานการเรียนรู้(TK Park) สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) และ Old Town Gallery จัดเวทีเสวนา “พิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทย : พื้นที่สร้างสรรค์การอ่าน การเรียนรู้ สู่การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์” เพื่อร่วมกันหาแนวทางผลักดันให้เกิด“พิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทย” มุ่งเพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ในการพัฒนาเด็กและเยาวชน เพราะวิกฤติไวรัสโควิด-19 ทำให้เด็กเยาวชนขาดการพัฒนาและการเรียนรู้มากขึ้น
ภายในงานดังกล่าว มีการจัดนิทรรศการ Cartoon ไทย in Old Town จากนักการ์ตูนชั้นครูและนักการ์ตูนรุ่นใหม่ 30 คน กว่า 200 ภาพ เพื่อแสดงความร่วมมือของศิลปินการ์ตูนที่พร้อมจะร่วมสนับสนุนกิจกรรมดีๆ หากมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทย และเรียกร้องให้รัฐยังสนับสนุนและให้ความสำคัญกับศิลปะแขนงนี้ ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมชมและบริจาคหนังสือนิทานเพื่อจัดตั้งธนาคารหนังสือเพื่อเด็กปฐมวัยในชุมชนคนจนเมือง
นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กทม. กรรมการมูลนิธิสุขภาพไทย กล่าวว่า ขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันให้เกิดพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทย ซึ่งจะเป็นพื้นที่สร้างสรรค์การอ่าน การเรียนรู้ของเด็กๆ เด็กเหมือนกระดาษที่เปื้อนสีได้ง่ายตามสิ่งแวดล้อมรอบตัววัยเด็กจึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต การสร้างพื้นที่เรียนรู้ จะช่วยแต่งแต้มสีสันอันงดงามให้กับกระดาษสีขาว จึงเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของสังคม การ์ตูนเป็นสื่อสร้างสรรค์ที่เข้าถึงความรู้สึก นึกคิดและจินตนาการของเด็กได้ง่ายที่สุด
“การ์ตูนที่ดีสักเรื่องหนึ่งสามารถบ่มเพาะต้นกล้าเล็กๆให้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงงดงามได้ จึงควรมีพื้นที่สื่อสร้างสรรค์สำหรับเด็กให้มากขึ้น”นางสาวรสนา กล่าว
ขณะที่ นายพลเดช วรฉัตร อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา และประเทศมัลดีฟส์ ระบุว่า การ์ตูนไทยเป็นสื่อที่สำคัญยิ่งหากเรามีพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทยจะได้เป็นแหล่งรวบรวมเผยแพร่ประวัติการ์ตูน ความเป็นมา และวิวัฒนาการของการ์ตูนไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงยุคปัจจุบัน เพื่อสร้างการรับรู้และตระหนักต่อทรัพยากรสารสนเทศ มรดกทางวัฒนธรรมของชาติในสาขานี้เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ของโลกที่ภาคภูมิใจในศาสตร์และศักยภาพของสื่อการ์ตูน ที่มีความหลากหลาย ทั้งรูปแบบ เนื้อหา การสื่อสาร ฯลฯ บนเส้นทางการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
ทางด้าน เซีย ไทยรัฐ อุปนายกสมาคมการ์ตูนไทยและประธานเครือข่ายการ์ตูนไทยสร้างสรรค์สังคมกล่าวว่า ที่ผ่านมา เรามีประชุมระดมความคิดในเครือข่ายการ์ตูนไทยกันบ่อยมาก เพื่อร่วมนำเสนอการออกแบบจัดตั้งพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทย ทั้งการศึกษา รวบรวมข้อมูลสภาพปัญหา และยุคทองของการ์ตูนไทยตั้งแต่แรกเริ่ม จนเข้าสู่รูปแบบและแพลตฟอร์มใหม่ๆ โดยได้รับความร่วมมือจากนักการ์ตูนเยาวชนและนักการ์ตูนชั้นครูมากมายเพื่อหวังให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เป็นพื้นที่ที่มีชีวิต มีรายการสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการ์ตูนไทย การแสดงศิลปะการวาดการ์ตูน การแข่งขันศิลปะการ์ตูนตั้งแต่รุ่นเล็กมืออาชีพ การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากการ์ตูน การนำการ์ตูนไปรับใช้สังคม ร่วมรณรงค์ในประเด็นต่างๆ
นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส.อดีตประธานอนุกรรมการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทย กรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลก กล่าวว่า แหล่งเรียนรู้ อาทิ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก, ห้องสมุด ฯลฯ เป็นพื้นที่สำคัญสำหรับเด็กๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เพราะหากเด็กๆ ขาดการเรียนรู้ จะส่งผล
กระทบทั้งในด้านความเป็นอยู่ภายในครอบครัว สังคม และจิตใจมีงานวิจัยพบว่า ยิ่งเด็กๆกลุ่มเปราะบาง ขาดโอกาสในการศึกษาการเรียนรู้ ก็จะมีโอกาสเข้าสู่วงจรอาชญากรรมสูงถึงร้อยละ 60 แม้การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทยต้องใช้งบประมาณค่อนข้างสูง แต่จะให้ผลตอบแทนในระยะยาว โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในอนาคต และเป็นพันธกิจเดียวที่กรุงเทพมหานคร ยังไม่สามารถดำเนินงานได้ลุล่วง ตามพันธกิจที่เสนอต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)
นางสุดใจ ยังได้กล่าวถึงการทำงานของแผนยุทธศาสตร์สร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. พบว่า“ภาพ”เป็นหัวใจสำคัญของการดึงเด็กเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ ภาพสามารถทำงานกับเด็กได้ตั้งแต่วัย 6 เดือน เนื่องจากสายตาเด็กเริ่มมีการโฟกัสสิ่งที่เห็น การมีภาพที่สวยงามอยู่ใกล้ตัวเด็กเพราะมีหนังสือในบ้าน เป็นปัจจัยแรกๆของการวางรากฐานวัฒนธรรมการอ่าน ยกตัวอย่างโครงการยูนิเซฟ ที่มีความพยายามในการรณรงค์ทั่วโลกให้มีหนังสือสำหรับเด็กที่เหมาะสมตามช่วงวัยอยู่ในบ้านอย่างน้อย 3 เล่ม ซึ่งในปัจจุบันพบว่าเด็ก จำนวนประมาณ 1.1 ล้านครัวเรือน ไม่เคยมีหนังสืออยู่ในบ้านในขณะที่เราเชื่อมั่นว่าความงามและสุนทรีย สามารถปลูกฝังและหล่อหลอมได้ และ 90% ของชีวิตมนุษย์ ช่วงวัยสำคัญในการบ่มเพาะในด้านภาษาและกระบวนการเรียนรู้ คือ ช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิด-6 ขวบ
“การ์ตูน ในฐานะที่มีภาพเป็นตัวเอกในการทำงานสำคัญในการพัฒนาเด็ก ตัวการ์ตูน ต้องเปลี่ยนไปตามช่วงวัยของเด็กเช่น วัยแรกเกิด - 3 ขวบ ภาพชัดเจน ตัวละคร ฉากหลังมีความชัดเจน ควรถ่ายทอดและสื่อสารเรื่องราวที่ใกล้ตัวเด็ก / วัย 9-12 ปี เป็นช่วงที่สำคัญ ยกตัวอย่างประเทศไต้หวัน เด็กทุกคนต้องได้อ่านการ์ตูน ต้องได้สร้างสรรค์งานการ์ตูนเป็นของตนเอง เชื่อว่าการซึมซับการวาด หรือ การเห็นการ์ตูน หรือ เสพการ์ตูนมากๆ เด็กจะลุกขึ้นมาเป็นผู้สร้างสรรค์เพื่อผลิตได้ ต่อยอดในเรื่องของ creative academy ซึ่งประเทศไทยได้วางไว้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญด้วยเช่นกัน” นางสุดใจ กล่าว
สำหรับการเรียกร้องพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อ1.ต้องการทวงสัญญา เนื่องจากกรุงเทพมหานครได้รับการประกาศให้เป็นเมืองหนังสือโลก ยุทธศาสตร์และภารกิจสำคัญ คือ ต้องจัดตั้งมูลนิธิพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทยได้สำเร็จ โดยในพิพิธพิธภัณฑ์ เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ เป็นพื้นที่ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นความแตกต่างของการ์ตูน รวมไปถึงทำหน้าที่เป็นตัวพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้กับเมืองนั้นๆ ด้วย หากมีพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทย จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ที่ดูแลและพัฒนาเด็กได้เข้าใจความสามารถ พลังที่มหัศจรรย์ของการ์ตูน
2.ต้องการให้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ของนักวาดการ์ตูน เนื่องจากมองว่าการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคน จะนำมาซึ่งความสามารถในการช่วยเพิ่มศักยภาพในการมองสังคม การสร้างสรรค์งาน เพื่อให้สังคมก้าวไปในทิศทางที่ดีงาม และในเดือนแห่งความรัก มีการจัดการรณรงค์ในพื้นที่ มีการจำลองพื้นที่ย่อยๆ ของพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทย และสามารถนำหนังสือมาบริจาคได้ โดยเฉพาะหนังสือเด็ก หนังสือนิทาน เพื่อนำไปร่วมก่อตั้งธนาคารหนังสือเพื่อเด็กปฐมวัยเพื่อเด็กในชุมชนเมือง
สำหรับการขับเคลื่อนงาน มีการทำงานควบคู่ไป 2 ด้าน ได้แก่ 1.พบว่าการพูดเรื่องใหญ่ๆ คนเล็กๆ หรือ องค์กรเล็กๆไม่สามารถลงมือทำเองได้ จึงทำได้เพียงเรียกร้องและทวงสัญญาจากภาครัฐเท่านั้น รวมถึงองค์กรอื่นๆ ที่เราวางแผนในการเดินหน้าพูดคุย เช่น TK PARK หรือ OKMD หรือ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
เนื่องจากมีความใกล้เคียงกับภารกิจของพิพิธภัณฑ์การ์ตูนไทย และ 2.มีการขยายเผยแพร่ความรู้ให้พ่อแม่รุ่นใหม่เข้าใจว่า การอ่านหนังสือให้เด็กฟังเพียง 10-15 นาที สามารถพัฒนาศักยภาพสมองและทักษะชีวิตของลูกได้มาก
นางสุดใจ กล่าวว่าการดูการ์ตูนจากหนังสือและโทรศัพท์มือถือ มีความแตกต่างกัน จากการประกาศขององค์การอนามัยโลก เด็กวัยแรกเกิด-2 ขวบ ไม่ควรอยู่หน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นทีวี โทรศัพท์มือถือหรืออื่นๆ เนื่องจากเป็นตัวทำลายสมอง ทำลายสมาธิการจดจ่อของเด็ก และที่สำคัญทำให้ขาดปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และพบว่าเด็กวัยต่ำกว่า 3 ขวบที่ยังไม่สามารถพูดได้ มีจำนวนมาก สอดคล้องกับพัฒนาการเด็กปฐมวัยของประเทศไทยที่ล่าช้ามากกว่า 30% โดยเฉพาะด้านภาษา เราจึงมีการรณรงค์ไม่ให้ใช้มือถือกับเด็กวัยไม่เกิน 2 ขวบ พ่อแม่สามารถจัดแบ่งเวลา 15-30 นาที ร่วมกับการทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกับลูก เพื่อไม่ให้ลูกอยู่หน้าจอมากเกินไป
ทั้งนี้การที่เด็กได้เปิดหนังสือด้วยตนเอง การมีสมาธิจดจ่อในแต่ละหน้า การซึมซับรายละเอียดของภาพ พบว่า สามารถช่วยพัฒนาศักยภาพของสมองได้มากกว่า และปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากกว่า เป็นข้อมูลที่เกิดจากการปฏิบัติจริง การทำวิจัยร่วมกับองค์การยูนิเซฟ เด็กที่เคยติดจอ ติดมือถือ ถ้าพ่อแม่เล่านิทาน หรือ อ่านหนังสือให้เด็กฟังและพูดคุยกับลูกติดต่อกัน 2-3 เดือน สามารถคลี่คลายปัญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
จากข้อมูลทั้งหมด จึงเห็นได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องช่วยกันทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเด็กด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี