“ผู้สูงอายุ” หนึ่งในประชากรกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเนื่องจากอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพตามสังขารที่ไม่ได้แข็งแรงอย่างคนวัยหนุ่ม-สาว เห็นได้จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผู้สูงอายุเมื่อได้รับเชื้อเข้าไปจะมีโอกาสสูงที่จะมีอาการป่วยหนักถึงขั้นเสียชีวิต ในขณะที่คนวัยหนุ่ม-สาวที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีเพียงเล็กน้อย ไม่ต่างจากปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 ที่ผู้สูงอายุจะมีอาการป่วยจากฝุ่นง่ายกว่าคนวัยหนุ่ม-สาวเช่นกัน
รศ.ดร.วิราภรณ์ โพธิศิริ นักวิชาการวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานเสวนาออนไลน์ เรื่อง “โควิด-19 VS PM 2.5 กับการดูแลผู้สูงอายุ” เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ปัจจุบันมีผู้สูงอายุกว่า 13.4 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ และคาดว่าในอีก 30 ปีข้างหน้าจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 36 จึงถือว่าเป็นการเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด
“ในจำนวนผู้สูงอายุของไทยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง และยังอยู่ในสถานะเป็นม่ายเนื่องจากสูญเสียคู่ชีวิต ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติยังพบอีกว่า 15 ปีที่ผ่านมา ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับลูกหลานมีแนวโน้มลดลง สาเหตุอาจจะมาจาก 1.การมีลูกลดลง และ 2.การย้ายถิ่นฐาน ซึ่งทำให้มีแนวโน้มว่าผู้สูงอายุจะอยู่อาศัยตามลำพังมากขึ้น” รศ.ดร.วิราภรณ์ กล่าว
รศ.ดร.วิราภรณ์ กล่าวต่อไปว่า การดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันของผู้สูงอายุ ทำให้การได้รับผลกระทบจากโควิด-19แตกต่างกัน “ผู้สูงอายุในเมืองจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากกว่าผู้สูงอายุในชนบท” เนื่องจากผู้สูงอายุในเมืองยังทำงานกันอยู่ และยังเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ต้องออกจากงาน นอกจากนี้กลุ่มผู้สูงอายุยังสูญเสียรายได้จากการทำงาน ที่มาจากมาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งแม้ความเสี่ยงในเรื่องของโควิด-19 ทุกกลุ่มมีความเสี่ยงหมด แต่ผู้สูงอายุเมื่อติดเชื้อมานี้แนวโน้มรุนแรงกว่ากลุ่มอื่นจึงถือว่าเป็นกลุ่มเปราะบางสูง
“จากผลสำรวจมากกว่าร้อยละ 22 พบว่าหลังจากที่ล็อกดาวน์รายได้หลักคือเบี้ยยังชีพ แต่พอหลังจากโควิดรอบแรกเพิ่มเป็นร้อยละ 40 ถ้าหากรัฐบาลมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ขอให้พิจารณาถึงผู้สูงอายุที่ยังทำงานอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังเห็นว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ปัญหาด้านจิตใจของผู้สูงอายุที่มีความวิตกกังวลเมื่อมีการแพร่ระบาดของโควิด-19”รศ.ดร.วิราภรณ์ ระบุ
ด้าน ผศ.พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน อาจารย์สาขาอายุรศาสตร์ผู้สูงอายุ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่ใกล้เคียงกันในด้านของการติดเชื้อโควิด-19 แต่ก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละบุคคลด้วยว่าดีขนาดไหน หากดูอัตราการเสียชีวิตของผู้สูงอายุจากโควิด-19 พบว่าอัตราการเสียชีวิตยังไม่มากแต่ผู้สูงอายุที่เสียชีวิตมักจะมีโรคเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว จึงทำให้มีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่น
การแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุควรแบ่งตามภาวะการพึ่งพาตัวเอง โดยแบ่งเป็น “ผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สูง คือผู้สูงอายุกลุ่มที่มีโรคเรื้อรัง” โดยเฉพาะถ้าหากผู้สูงอายุรับประทานอาหารไม่ดี พักผ่อนไม่เพียงพอ ก็จะมีความต้านทานโรคน้อย มีความเสี่ยงมากกว่าผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองดังนั้นสมาชิกในครอบครัวจึงเป็นบุคคลสำคัญที่จะช่วยดูแลให้ผู้สูงอายุมีความแข็งแรง ทั้งร่างกาย และด้านจิตใจ โดยจะต้องทำให้ผู้สูงอายุได้รับประทานของที่ดีเหมาะสมกับวัย พักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้ผ่อนคลาย
“ขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อมีผู้สูงอายุในบ้านเพื่อลดความเสี่ยงจากโควิด-19 ควรที่รับข้อมูลข่าวสารแบบไม่ตื่นตระหนก คนที่จะเข้าไปดูแลผู้สูงอายุจะต้องไม่เอาของไปให้ เช่น ไปตลาดเจอผู้คนมากมาย หรือไปโรงพยาบาลจะต้องเจอผู้ป่วย จึงต้องบริหารความเสี่ยงตามที่เจอมาในขณะนั้น แต่สิ่งสำคัญคือควรทำให้ผู้สูงอายุแข็งแรงด้วย เรื่องของอาหาร การพูดคุย ให้ความรักและความห่วงใย จะทำให้ผู้สูงอายุมีภูมิต้านทานดี ส่วนในการป้องกันตัวจากฝุ่น PM2.5 ในผู้สูงอายุนั้น ควรที่จะพูดคุยถึงความอันตรายแก่ผู้สูงอายุให้รับรู้และทำตาม” ผศ.พญ.สิรินทร กล่าว
มุมมองจากผู้สูงอายุ พรพรรณ ชัยนาม นักจัดรายการวิทยุเพื่อเด็กและช่างภาพอิสระ เล่าว่า ตนเองอยู่กับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุในบ้าน ข้อมูลข่าวสารจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งต้องรู้จักเท่าทันสื่อด้วย ที่จะทำให้ไม่ตื่นตระหนกตกใจกับโควิด-19 แต่จะทำให้รู้จักระมัดระวังมากขึ้น ดูแลตัวเองและคนรอบข้างให้ดี ถ้าหากเราดูแลรักษาความสะอาด ใส่แมสเวลาออกไปข้างนอก ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้งที่สัมผัสของข้างนอก แค่นี้ก็จะเพียงพอต่อการป้องกันแล้ว นอกจากนี้ก็ออกกำลังกายด้วยจึงทำให้มีภูมิต้านทานการป้องกันโรคในระดับหนึ่ง
“คำแนะนำในการดูแลตัวเองในช่วงโควิด-19 ควรที่จะทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียดจนเกินไป หางานอดิเรกทำในสิ่งที่ชอบ ทำตามที่แพทย์แนะนำเพื่อดูแลตัวเอง และระมัดระวังตัวเองในเบื้องต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สื่อมวลชนจะต้องสื่อสารเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ควรที่จะสื่อสารด้วยคำที่เข้าใจได้ง่ายๆ สั้นๆ กระชับได้ใจความ เพื่อให้ทุกคนได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างถูกต้องและเข้าใจ” พรพรรณ กล่าวในท้ายที่สุด
แฟ้มภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี