“ข่าวปลอม (Fake News)” เป็นปัญหาสำคัญก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลและขยายความขัดแย้งในสังคม แต่ในยุคออนไลน์ที่การส่งต่อข้อมูลข่าวสารทำได้รวดเร็ว ลำพังการรอภาครัฐชี้แจงอาจไม่เพียงพอ ภาคประชาชนจึงลุกขึ้นมามีส่วนร่วมดูแลพื้นที่ของตนเอง ดังเรื่องเล่าจาก 2 ภูมิภาค ในเวทีเสวนาเนื่องในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก(International Fact-CheckingDay 2021) ความท้าทายในการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน เมื่อเร็วๆ นี้
มะรูฟ เจะบือราเฮง ผู้อำนวยการดิจิทัลเพื่อสันติภาพ และโคแฟคชายแดนใต้ (Deep South COFACT) เล่าเรื่องการทำงานตรวจสอบข่าวลือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ อันประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ว่า เป็นเวลา 17 ปีแล้วนับตั้งแต่ปี 2547 ที่เกิดเหตุรุนแรงขึ้นซึ่งสร้างความสูญเสียทั้งในแง่ชีวิตและเศรษฐกิจของผู้คนในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็มีความพยายามสร้างสันติภาพหรือการสื่อสารเชิงบวก และพื้นที่ออนไลน์ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ
โดยในปี 2562 เกิดกิจกรรมชื่อ“Fighting Fake News Hackathon”ขึ้นที่ จ.ปัตตานี รวมผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ครือข่ายภาคประชาชนและสื่อมวลชนท้องถิ่น ระดมสมองแก้โจทย์ “จะทำอย่างไรเพื่อลดการสื่อสารที่เป็นอุปสรรคในการสร้างสันติภาพ” นำไปสู่การเกิดขึ้นของ“ปฏิญญาปัตตานี” ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายคือการร่วมกันต่อสู้กับปัญหาการเผยแพร่ข่าวปลอมหรือบิดเบือน
มะรูฟ เล่าต่อไปถึงข้อค้นพบในการทำงาน ประกอบด้วย 1.บูรณาการสื่อเดิมกับสื่อใหม่ เช่น จัดรายการวิทยุสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง ให้ความรู้เรื่องการรู้เท่าทันสื่อ และเปิดให้ประชาชนโทรศัพท์เข้ามาสอบถามว่าวันนี้ที่ได้ยินข่าวนั้นข่าวนี้มาเป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งก็อาจจะมีคนอื่นๆ โทรศัพท์เข้ามาอธิบายว่าเรื่องนั้นเป็นความจริงหรือไม่อย่างไร ส่วนนักจัดรายการก็จะค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์ของโคแฟค หากมีข้อมูลเดิมที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วก็สามารถนำมาตอบได้ทันที หรือการค้นหาข่าวต่างๆ บนเฟซบุ๊คเพื่อตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริง
2.คาดการณ์และเตือนล่วงหน้าเช่น ในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลเตรียมแผนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ซึ่งก่อนหน้านี้ในพื้นที่ชายแดนใต้จะมีคนบางกลุ่มปฏิเสธการรับวัคซีนเพราะเชื่อว่าวัคซีนผลิตขึ้นอย่างไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา อาทิ มีส่วนผสมของไขมันหมู ดังนั้น คนทำงานต่อต้านข่าวปลอมจึงต้องหาข้อมูลมาชี้แจงไว้ก่อนว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19
3.ทำงานร่วมกับผู้นำศาสนา ในพื้นที่ชายแดนใต้นั้นผู้นำศาสนามีอิทธิพลทางความคิดกับผู้คนอย่างมาก เช่นมีคนเล่าว่าได้ยินเรื่องวัคซีนทำจากไขมันหมูมาจากผู้นำศาสนาแต่ผู้นำศาสนาเองก็ได้รับข้อมูลมาจากช่องทางออนไลน์ ความท้าทายสำคัญคือจะทำอย่างไรในการส่งเสริมให้ผู้นำศาสนามีบทบาทร่วมตรวจสอบข่าวปลอม และ 4.ทุกคนร่วมตรวจสอบข่าวปลอมได้ เพราะในทีมงานโคแฟคชายแดนใต้ก็มีคนที่ไม่ได้จบด้านสื่อสารมวลชน
“ทีมงาน 2 คนที่ตรวจเช็คข่าวทุกข่าวในแต่ละวันเขาไม่ได้จบวารสารศาสตร์มาเลย จบทางด้านอื่น แต่ว่ามาฝึก ในช่วงที่ทำ Fact Check (ตรวจสอบข้อเท็จจริง)ฝึกไปๆ ผมก็เลยถามว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เขาบอกว่าตัวเองรู้สึกมี Critical Thinking (การคิดเชิงวิเคราะห์) มากขึ้น คือทุกอย่างเขาสงสัยหมดเลย ไม่ว่าเรื่องนั้นบางทีอาจเป็นสิ่งที่เคยเชื่อ เป็นสิ่งที่เคยถูก Fact Check มาแล้วเขาก็ตั้งคำถาม แล้วเขาก็บอกว่าสิ่งเหล่านี้ทุกคนสามารถมีทักษะแบบเขาได้ อันนี้เป็นคนที่ทำงานเบื้องหลัง ทำงานหนักร่วมกับองค์กรอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่” มะรูฟ กล่าว
ขณะที่ กมล หอมกลิ่น ผู้ประสานงาน อีสานโคแฟค (Esan COFACT) กล่าวว่า เครือข่ายอีสานโคแฟค เริ่มทำงานตรวจสอบข่าวปลอมตั้งแต่เดือนต.ค. 2563 ร่วมกับสถาบันการศึกษา 7 แห่ง และ 3 เครือข่ายสื่อในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งภาคอีสานเองก็มีปัญหาข่าวลือเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจากปากต่อปากหรือการแชร์กันบนโลกออนไลน์ เช่น “ผีแม่ม่าย” ที่จู่ๆ ก็มีผู้ชายหลายคนเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“จริงๆ ชาวอีสานรู้ โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ตอนนี้เล่นเฟซบุ๊ค เล่นไลน์กันเป็นจำนวนมาก เท่าที่เราลงพื้นที่ติดตามก็มีแอปพลิเคชั่นไลน์กันแทบทุกคน แล้วก็มีการแชร์ข้อมูลที่ไม่ได้กลั่นกรอง ทั้งที่รู้ว่าเป็นข้อมูลที่ไม่จริงแต่ก็ยังแชร์ซึ่งเหล่านี้มันสะท้อนให้เห็นว่ายังไม่รู้เท่าทันสื่อ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วการทำงานเรื่อง Fake News ทางอีสานเรียกว่าหยุดข่าวลวงทวงความจริง เราก็ต้องมาพูดคุยกันถึงเรื่องรู้เท่าทันสื่อ ให้ชาวบ้านตระหนักเรื่องนี้” กมล กล่าว
ตัวอย่างที่น่าสนใจในพื้นที่ จ.อุดรธานี ซึ่งมีชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังต่อสู้ประเด็นการทำเหมืองแร่และต้องรับมือข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาโดยที่ชาวบ้านไม่รู้ว่าจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างไร แต่เมื่อสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านได้แล้ว ก็มีสิ่งที่ต้องคิดต่อไปอีกคือจะทำงานเชิงรุกได้อย่างไร แทนที่จะตั้งรับรอให้มีข่าวปลอมเกิดขึ้นแล้วตามแก้ไขอย่างที่ผ่านมา
ซึ่งการทำงานเชิงรุกที่ว่านั้นต้องอาศัยการตั้งคำถามไว้ล่วงหน้า เช่น แทนที่จะปล่อยให้เกิดข่าวลือแพร่กระจายไปว่าการใช้สารเคมีในนาข้าวมากๆ ทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นและถึงขั้นเสียชีวิต ก็ตั้งคำถามไปก่อนเลยว่า การใช้สารเคมีในนาข้าวมากๆ ทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นและถึงขั้นเสียชีวิตได้จริงหรือไม่? และจริงๆ หน่วยงานด้านสาธารณสุขในพื้นที่ก็เคยพูดถึงเรื่องนี้แต่อาจจะไม่มากนัก
“การทำงานของคนที่ภาคอีสาน สิ่งที่ผมย้ำและพวกเราย้ำ คือทำงานให้เป็นลักษณะเครือข่าย เพราะสิ่งที่เรียกว่าความจริงร่วมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก การที่ชาวบ้านเขาไม่รู้ว่าจะไปพึ่งทางไหน อย่างพอมีเหตุการณ์โควิดมามันมีข่าวมาจากหลายข่าว ทั้งที่เขาเป็นเจ้าของพื้นที่เอง มีข่าวว่ามีคนติดโควิดในหมู่บ้านถัดไปแล้วทำให้คนเกิดความตื่นตระหนก
อย่างการลงพื้นที่ จ.อุดรธานี ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องรีบประกาศทางหอกระจายข่าว ส่งข้อมูลให้ผู้ใหญ่บ้านประกาศว่าให้รีบไปรับนักเรียนภายในบ่ายนี้ให้กลับบ้าน
ด่วนเพราะมีคนติดโควิดอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเรา 5 กิโลเมตรก็ทำให้ชาวบ้านเกิดความตื่นตระหนกโกลาหล ทำให้ชาวบ้านต้องไปเอาลูกของตัวเองกลับบ้าน ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วข้อมูลนี้ไม่เป็นความจริง เพราะฉะนั้นการสร้างพื้นที่ร่วมและทำงานเป็นเครือข่ายเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับภาคอีสาน”ผู้ประสานงาน อีสานโคแฟค กล่าวในท้ายที่สุด
หมายเหตุ : เวทีเสวนาเนื่องในวาระวันตรวจสอบข่าวลวงโลก (International Fact-Checking Day 2021)ความท้าทายในการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน ร่วมจัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), โคแฟค (COFACT) ประเทศไทย เครือข่ายองค์กรตรวจสอบข่าวสากล (International Fact Checking Network : IFCN)และภาคีเครือข่ายตรวจสอบข่าวลวงกว่า 30 องค์กรในประเทศ
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี