เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีการเรียกร้องมายาวนานคือ “ยกเลิกความผิดฐานค้าประเวณี (กรณีกระทำโดยสมัครใจและไม่ใช่เด็กหรือเยาวชน)” ซึ่งประเทศไทยนั้นมี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับจนถึงปัจจุบัน แต่หนึ่งในความกังวลของผู้ขายบริการทางเพศคือแนวคิด “เปลี่ยนจากการห้ามเป็นการกำหนดให้ขึ้นทะเบียน” เพราะอาจไม่ช่วยแก้ปัญหา
เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “จดทะเบียน Sex Workers แก้ปัญหาจริงหรือหลอก?” โดยมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์(Empower Foundation) องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ที่รณรงค์เรื่องสิทธิของผู้ขายบริการทางเพศ และพนักงานในสถานบันเทิง ถอดบทเรียนเรื่องเล่าจากหลายประเทศที่มีกฎหมายกำหนดให้ผู้ค้าประเวณีต้องขึ้นทะเบียน
เชอร์รี่ (Sherry) ตัวแทนผู้ขายบริการทางเพศในประเทศสิงคโปร์ เล่าว่า สิงคโปร์กำหนดให้มีการจดทะเบียนผู้ขายบริการทางเพศและตรวจโรคเป็นประจำ “สิ่งที่ไม่ชอบคือกรณีชาวต่างชาติแม้จะสามารถจดทะเบียนได้ แต่หากติดโรคขึ้นมาจะถูกส่งกลับประเทศต้นทางทันที” การจดทะเบียนในกรณีของสิงคโปร์จึงมีเพียงเป้าหมายเดียวคือการควบคุมการระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น
แอนนา ฮอฟฟ์มานน์ (Anna Hoffmann) ผู้แทนองค์กร Hydra ทำงานด้านสิทธิผู้ขายบริการทางเพศในประเทศเยอรมนี เล่าว่า การค้าประเวณีในเยอรมนีเป็นอาชีพถูกกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2547 ผู้ขายบริการสามารถฟ้องร้องลูกค้าที่ไม่จ่ายค่าจ้างหรือใช้ความรุนแรงได้ แต่เมื่อมีการออกกฎหมายเพิ่มเติมในปี 2561 เพื่อคุ้มครองคนทำงานให้มีความปลอดภัยมากขึ้นโดยกำหนดให้ต้องจดทะเบียน พบว่า ผลที่ได้ไม่เป็นไปตามที่ภาครัฐคาดหวังไว้
กล่าวคือ “ผู้ค้าประเวณีหลายคนไม่กล้าจดทะเบียนเพราะไม่อยากให้คนรอบข้างรู้ว่าตนเองประกอบอาชีพนี้เนื่องจากกลัวถูกตีตรา” เช่น กรณีอาศัยในเมืองเล็กๆ ผู้ขายบริการทางเพศกับเจ้าหน้าที่รัฐอาจเป็นเพื่อนบ้านกันก็ได้ การไปจดทะเบียนเท่ากับเปิดเผยต่อคนรู้จักไปโดยปริยาย แต่เมื่อไม่จดทะเบียนก็สุ่มเสี่ยงกับทั้งสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยและการถูกจับกุมดำเนินคดี รวมถึงการฟ้องร้องกรณีเจอลูกค้าที่ไม่ดีก็พลอยทำไม่ได้ไปด้วย
ด้าน ชาร์ล็อตต์ (Charlotte) ผู้แทนองค์กร ECP ที่ทำงานด้านสิทธิของผู้ขายบริการทางเพศในประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ที่อังกฤษแม้การค้าประเวณีจะไม่ใช่อาชีพผิดกฎหมาย แต่การออกไปตระเวนหาลูกค้านั้นผิดกฎหมาย และมีการตรวจค้นจับกุมเป็นระยะๆ ซึ่งลดทอนโอกาสของคนกลุ่มนี้ในการเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นในอนาคตเพราะนายจ้างมักไม่อยากรับคนมีประวัติอาชญากรรมเข้าทำงาน
ขณะที่ ลอรา (Laurs) ผู้แทนองค์กร ECP อีกราย กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม มีความพยายามตั้งสถานที่อย่างเป็นกิจจะลักษณะ เช่น ในปี 2557 ที่เมืองลีดส์ มีการกำหนดให้สถานที่หนึ่งเป็นจุดที่ผู้ค้าประเวณีเข้าไปหาลูกค้าได้ระหว่างเวลา 19.00-07.00 น. โดยไม่ถูกดำเนินคดี ส่งผลให้ผู้ประกอบอาชีพนี้กล้าไปแจ้งความมากขึ้นเมื่อถูกกระทำความรุนแรง แต่การให้จดทะเบียนเป็นสถานบริการทางเพศก็ทำให้เกิดการตีตราจากการแยกออกจากสถานบริการประเภทอื่นๆ อีก รวมถึงผู้ขายบริการทางเพศก็ไม่กล้าจดทะเบียนเพราะกลัวคนรอบข้างรู้ โดยเฉพาะคนที่มีลูก
จูลส์ คิม (Jules Kim) ผู้นำองค์กร Scarlet เครือข่ายด้านสิทธิผู้ขายบริการทางเพศในประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า รัฐในออสเตรเลียที่กำหนดให้จดทะเบียนพบมีผู้มาจดทะเบียนน้อยมาก และมีรายงานว่าไม่ได้ช่วยให้ผู้ขายบริการทางเพศได้รับความคุ้มครองดีขึ้น ซ้ำร้ายยังถูกตีตราเพราะฐานข้อมูลประวัติบุคคลระบุอาชีพดังกล่าวไว้ ส่วนรัฐที่ไม่บังคับจดทะเบียน พบว่าลดปัญหาทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐได้ และไม่พบว่ามีผู้ค้าประเวณีเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
รูธ มอร์แกน โธมัส (Ruth Morgan Thomas) ผู้ก่อตั้งเครือข่ายพนักงานบริการทางเพศทั่วโลก (NSWP) ระบุว่า ปัจจุบันมีเพียง 25 จากเกือบ 200 ประเทศทั่วโลกที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องจดทะเบียนผู้ค้าประเวณี และมีบางประเทศที่แม้จะกำหนดให้จดทะเบียน แต่กลับระบุว่าการจ้างผู้ขายบริการทางเพศเป็นพนักงานถือเป็นความผิด ทำให้ผู้ขายบริการทางเพศไม่ได้รับความคุ้มครองด้านสิทธิแรงงาน หรือบางประเทศก็ไม่อนุญาตให้ผู้ขายบริการทางเพศรวมกลุ่ม ทำให้ไม่มีอำนาจต่อรองและต้องทำงานบนความเสี่ยง
ทั้งนี้ มีเพียง 2 ประเทศที่มองอาชีพดังกล่าวเป็นเพียงงานประเภทหนึ่งโดยไม่เป็นความผิดทางอาญา ที่เหลือเป็นการจดทะเบียนเพื่อควบคุมและจำกัดสิทธิ เช่น มี
21 บางประเทศที่บังคับผู้ขายบริการทางเพศต้องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งเอดส์ (HIV-AIDS) และอื่นๆ ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน หรือบางประเทศกำหนดให้ผู้ขายบริการทางเพศต้องพกบัตรผู้ขึ้นทะเบียนไว้ตลอดเวลาและต้องแสดงต่อลูกค้าด้วย หรือมีบางประเทศห้ามคนในประเทศจนทะเบียน ในขณะที่บางประเทศก็ห้ามคนต่างชาติจดทะเบียน ฯลฯ
“ระบบการลงทะเบียนนำมาสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนแบบใดแบบหนึ่ง การที่กำหนดว่าต้องมาลงทะเบียนนั้นมันเป็นการบอกว่าเราไม่เหมือนคนอื่น เราไม่สามารถดูแลตัวเองได้ และเราก็ต้องการให้มาดูแลคุ้มครองเรามากไปกว่าการคุ้มครองสิทธิแรงงาน มันทำให้เกิดการตีตราการเลือกปฏิบัติ ซึ่งมันก็ทำให้เกิดความรุนแรงต่อคนทำงานค้าบริการ เพราะมันเป็นการบอกว่าเราไม่เหมือนคนอื่นเราแตกต่าง เราเป็นอะไรที่ผิดปกติ
มันเป็นการบ่อนทำลายสิทธิในการทำงาน สิทธิในการเลือกสถานที่ทำงาน และสิทธิที่เราจะเลือกว่าจะทำงานอย่างไร เป็นการบั่นทอนสิทธิความเป็นส่วนตัวของเรา และสิทธิในการที่จะไม่ถูกรัฐเข้ามาแทรกแซง การทำให้การค้าบริการไม่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะผู้ค้าบริการเอง ลูกค้า เพื่อน คู่ชีวิต อะไรก็ตามทั้งหมดเลยโดยที่ไม่มีการลงทะเบียน จะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คนทำงานค้าบริการมีสิทธิในการทำงาน สิทธิแรงงาน แล้วก็สามารถมีอำนาจเหนือตนเองของเราได้อย่างแท้จริง” รูธ กล่าว
ปิดท้ายด้วย ไหม จันตา ผู้แทนมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ให้ความเห็นว่า อาชีพขายบริการทางเพศยังไม่ใช่งานที่สังคมยอมรับ การกำหนดให้ต้องจดทะเบียนย่อมนำไปสู่การถูกตีตราอย่างที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ขณะเดียวกันผู้ขายบริการทางเพศก็ไม่ได้ต้องการสิทธิใดๆ มากกว่าอาชีพอื่นๆ เช่น หากทำงานในสถานบริการ ก็ต้องการเพียงการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานและกฎหมายประกันสังคมเท่านั้น เพื่อไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบในการทำงาน
ลำพัง “การยกเลิกความผิดฐานค้าประเวณี” เรื่องเดียวก็น่าจะเพียงพอ เพราะจะเป็นหนทางนำไปสู่การได้รับสิทธิอื่นๆ ในฐานะแรงงานต่อไป!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี