“ชีวิตคนจนคนหนึ่งมันมีจุดหักเหในชีวิตหลายช่วง มันมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีโครงสร้างการพัฒนาที่เขาเข้าไม่ถึง มีประวัติศาสตร์ชีวิตที่ซับซ้อน และที่สำคัญเขามีทรัพยากรที่จำกัดมาก ทำงานอย่างไรขยันอย่างไร ทำจนไม่มีเวลาหลับเวลานอนก็ไม่มีทางรวย คนอื่นเขานอนข้าพเจ้าต้องไปหากบหาอึ่งหาเขียด ภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากร เงินก็ได้มากสุด 60 บาทต่อวัน กว่าจะขายอึ่งได้ ขายปูขายหอยได้ 60 บาท มันเยอะมาก แต่มันจำกัดไม่สามารถถีบตัวเองออกมาจากวังวนของความยากจนได้เพราะทรัพยากรมีจำกัด”
เรื่องเล่าจาก รศ.ดร.กนกวรรณ มะโนรมย์ อาจารย์สาขาวิชาการพัฒนาสังคม คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในงานเสวนา “งานวิจัยกับการแก้ไขปัญหาความยากจน” ซึ่งจัดโดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงประสบการณ์ที่ได้ไปพูดคุยและทำงานร่วมกับ “คนจน” ในพื้นที่ จ.อำนาจเจริญ อันเป็น 1 ใน 10 จังหวัดนำร่องที่ในปี 2562 ถูกระบุว่ามีปัญหาความยากจนรุนแรงที่สุดของประเทศไทย และ ม.อุบลฯ ก็เป็น1 ใน 10 สถาบันอุดมศึกษา ที่ได้รับเลือกให้เข้าไปทำภารกิจ “แก้จน” ในครั้งนี้
ระยะเวลา 9 เดือนกับการทำงานภายใต้ “โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ” อาจารย์กนกวรรณ ได้ข้อสรุปที่สำคัญว่า “ข้อมูลนั้นมีพลัง..แต่พลังจะไม่เกิดหากข้อมูลไม่มีชีวิต” โดยเมื่อคณะทำงานได้รับข้อมูลจาก “ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (TPMAP)” ซึ่งเป็นฐานข้อมูลคนจนจากหน่วยงานภาครัฐ ก็ได้นำไปสอบทานด้วยวิธี “รับฟังอย่างลึกซึ้ง” จากปากของคนจนเอง โดยเชิญคนจนเกือบทั้งหมดในจังหวัดจากจำนวนที่พบในแบบสอบถามมาพูดคุยกัน
จากการพูดคุยทั้งกับคนจนเองและหน่วยงานของรัฐในพื้นที่ ได้ข้อสรุปเรื่องพื้นที่นำร่อง 2 แห่ง คือ “บ้านหนองทับม้า”หมู่ 11 ต.เสนางคนิคม อ.เสนางคนิคม เป็นตัวแทนของ “ชุมชนชนบท” ที่นี่มีปัญหาชาวบ้านขาดแคลนข้าวและไม่มีที่ดินทำกิน เกิดเป็น “โครงการกองบุญข้าวปันสุข” เพื่อให้คนจนที่สุด 27 คน ในหมู่บ้านมีข้าวบริโภคอย่างเพียงพอ โครงการนี้ออกแบบให้มีตัวแทนคนจนมาเป็นกรรมการด้วย และมีการถือหุ้นในโรงสีของชุมชน
“เป็นนวัตกรรมครั้งแรกที่โรงสีระดมทุนจากกลุ่มการพัฒนาในพื้นที่ เขาบอกว่าต่อไปเราจะไม่กู้ ธ.ก.ส. (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) แล้ว เราได้ไอเดีย เราจะไประดมทุนจากกองทุนในพื้นที่ ให้คนจนได้ถือหุ้นแล้วก็แบ่งปันกลับสู่ชุมชน อันนี้มันเป็นนิยามความหมายว่ามันจะยั่งยืนตลอดไป” อาจารย์กนกวรรณ กล่าว
ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือ “ชุมชนสุขสำราญ” อ.เมือง เป็นตัวแทนของ “ชุมชนเมือง” ซึ่งปัญหาความยากจนจะซับซ้อนมาก อาทิ “ตา-ยายคู่หนึ่งอายุ 70 กว่าปี หาเลี้ยงชีพด้วยการเก็บขยะขายมาตลอดชีวิต และการที่มีคนรับฟังพวกเขามันทำให้คนเหล่านี้รู้สึกมีตัวตนขึ้นมา” ข้อค้นพบนี้นำมาสู่“โครงการอาสาสมัครชุมชน” โดยประยุกต์มาจากต้นแบบในประเทศจีน “ที่เมืองจีนมีการกำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐ 1 คนดูแลคนจน 1 คนให้หลุดพ้นจากความยากจนให้ได้ แต่เมืองไทยจะใช้อาสาสมัคร 5 คน ดูแลคนจน 25 คน” เพราะไทยคงไม่สามารถทำแบบจีนได้ทั้งหมด
“เราจะมีอาสาสมัครสัก 5 คนไหม? ดูแลคน 25 คน ปรากฏว่าชิงกันอาสาเพื่อจะช่วยเหลือ ชุมชนร่วมดูแลกันเอง 1 อาสาสมัครของชุมชน 1 คน ดูแลคนจน 5 คน เราก็แบ่งปัญหาของคนจนในพื้นที่เมือง 5 กลุ่ม กลุ่มที่จะสามารถเป็นผู้ประกอบการได้ก็มี กลุ่มที่จะต้องช่วยเหลือเยียวยา ลำบากพิการ โรคจิต มีนะเป็นโรคจิตโรคประสาท ติดเหล้า เราส่งต่อ
เลย จะมีกระบวนการส่งต่อ แล้วคนไม่มีที่อยู่อาศัยเราก็ให้ พอช.(สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน) แล้วก็กลุ่มที่เรียกว่าพอจะไปได้กลุ่มซ่อมบ้าน เรามีประมาณ 5 กลุ่มเพื่อช่วยเหลือคนยากจนที่แตกต่างกัน” อาจารย์กนกวรรณ ระบุ
นักวิชาการผู้นี้ ยังกล่าวอีกว่า “จุดเด่นของจังหวัดอำนาจเจริญคือทางจังหวัดเข้ามาสนับสนุนตั้งแต่แรก” อาทิ
ธนูสินธ์ ไชยสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ร่วมเป็นวิทยากรและพูดคุยกับชาวบ้านเรื่องทำอย่างไรโครงการกองบุญข้าวปันสุขจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน รวมถึง ทวีป บุตรโพธิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ได้ลงนามใน คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานบูรณาการการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ที่ อว 005/ว 611 ลงวันที่ 16 ก.พ. 2564 เกิดกลไกในการดูแลประชาชนกลุ่มนี้อย่างเป็นทางการขึ้นมา
คำสั่งดังกล่าวมีความสำคัญเพราะเป็นการเปิดพื้นที่ให้พื้นที่กับมหาวิทยาลัยได้ทำงานด้านปรับปรุงยุทธศาสตร์จังหวัด ขณะเดียวกัน “ภาคประชาสังคมในจังหวัดก็เข้มแข็งมาก” เข้ามาช่วยกันทำงานเช่นกัน แม้วันแรกๆ คณะทำงานภาควิชาการจะถูกภาคประชาสังคมปรามาสว่า “ได้ข้อมูลแล้วเดี๋ยวก็สะบัดก้นหนี” ก็ตาม ทำให้ท้ายที่สุดคณะทำงานก็ตกลง “ยกข้อมูลทั้งหมดที่พบจากโครงการให้ชุมชน” ซึ่งทางขบวนองค์กรชุมชนก็ดีใจมาก
จากภาคอีสานสู่ภาคเหนือ ทรงศักดิ์ ปัญญา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน เล่าว่า จ.แม่ฮ่องสอน ร้อยละ 80 เป็นพื้นที่ป่าจึงมีปัญหามากเรื่องการทับซ้อนระหว่างพื้นที่ป่ากับพื้นที่ทำกินของชาวบ้านซึ่งส่งผลต่อปัญหาความยากจนด้วย ซึ่งเรื่องคนกับป่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องผลักดันทางกฎหมายต่อไป แต่การได้ร่วมโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ ทำให้มีโอกาสทำงานร่วมกับชาวบ้านอย่างลงลึกถึงระดับหมู่บ้าน จากเดิมที่ทำงานเพียงระดับอำเภอเท่านั้น
อีกความท้าทายหนึ่งในการทำงานในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน คือ “คนยากจนจำนวนไม่น้อยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ จึงมีข้อจำกัดด้านการสื่อสาร” ซึ่งคณะทำงานได้เปลี่ยนมุมมองการทำงานจากการมองแบบนักวิจัยที่เป็นคนนอก เป็นการมองด้วยสายตาของชาวบ้านหรือคนจนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เข้าใจความยากลำบากให้มากที่สุด ข้อมูลที่ได้ก็จะเป็นความจริงมากที่สุดด้วยเพราะผู้ให้ข้อมูลเกิดความไว้วางใจ
“จากเดิมเราคิดว่าคนกับป่าเป็นปัญหาคู่กันมาพอเปลี่ยนมุมมองจากเดิมมาเป็นการทำความเข้าใจว่าคนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างไร เพราะนี่เป็นบริบทของแม่ฮ่องสอนจริงๆ ที่ชุมชนมีการอยู่ร่วมกับป่ามาตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานชุมชนมาเป็นหลายร้อยๆ ปี แล้วเขาอยู่ร่วมกันมาจากป่าได้อย่างไร แล้วป่าก็ยังมีสภาพค่อนข้างอุดมสมบูรณ์จนถึงปัจจุบันได้อย่างไร อันนี้มันเป็นสิ่งที่เราจะต้องไปถอดออกมาเพราะว่าเป็นต้นทุนที่สำคัญ”ทรงศักดิ์ ยกตัวอย่าง
พื้นที่ที่คณะทำงาน จ.แม่ฮ่องสอน เลือกเป็นพื้นที่นำร่องคือ “ตำบลแม่สวด” อ.สบเมย ที่นี่มีคนจนมากถึง 2,010 คน ตามข้อมูลของ TPMAP แต่มีการทำงานอย่างเข้มแข็งทั้งในส่วนของชุมชน เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และหน่วยงานภาครัฐในท้องถิ่น คือ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ซึ่งพบว่า “บุก” เป็นพืชที่จะสามารถแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่ได้ เพราะปัจจุบันบุกได้รับความนิยมในการนำไปแปรรูปเป็นอาหารเพื่อสุขภาพและยา
อย่างไรก็ตาม “อุตสาหกรรมแปรรูปบุกในไทยต้องนำเข้าบุกจากต่างประเทศ เพราะบุกในประเทศที่แหล่งสำคัญใน จ.แม่ฮ่องสอน หรือ จ.ตาก ยังมีสถานะเป็นของป่าเพราะอยู่ในป่า จึงมีข้อจำกัดด้านกฎหมายในการนำออกมา”
แม้หลายปีก่อนทางจังหวัดจะเปิดให้ขึ้นทะเบียนขอสัมปทานเก็บเกี่ยวบุก แต่การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับเกษตรกรก็ยังมีปัญหา
“เราพบว่ามีบางส่วนใช้ช่องว่างของกระบวนการที่ต้องไปขออนุญาต นำไปสู่การเรียกร้องรับผลประโยชน์จากเกษตรกรและพ่อค้า มีข้อมูลจากทีมมหาวิทยาลัยแม่โจ้แพร่ เล่าให้ฟังว่าโรงงานบุกจะย้ายฐานการผลิตและการรับซื้อไปที่จ.แพร่ เนื่องจากว่าเขาแบกรับต้นทุนที่ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะไม่ไหวอันนี้เป็นจากการวิจัยที่เราไปเจอ” ผอ.ศูนย์วิจัยและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน ระบุ
คณะทำงานภาควิชาการในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน ยังมีความร่วมมือจากหลายมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าไปออกแบบชุดความรู้ในการแปรรูปบุก มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต เข้าไปทำงานตามโครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล (U2T) ส่วนภาครัฐนอกจากท้องถิ่นแล้วยังมีกรมวิชาการเกษตร และมีบริษัทเอกชนด้านพลังงานเข้าไปสนับสนุนการแปรรูปอีกทาง โดยได้ข้อสรุปว่า “บุกคือทางออก” ในการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน เพราะเติบโตได้ในระบบวนเกษตรและไม่ต้องใช้สารเคมีจึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
“ถ้าสามารถปลดล็อกเรื่องการนำออกมาจำหน่ายได้ผมคิดว่าคุณสมบัติน่าจะสู้ได้ ซึ่งตอนนี้โครงการวิจัยก็ส่งตัวอย่างบุกในพื้นที่ไปตรวจสอบที่แล็บของ ม.เกษตรฯ กับ มช. (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) เพื่อเป็นการยืนยันอีกทีว่าคุณสมบัติเราก็ไม่ได้แพ้ประเทศอื่น” ทรงศักดิ์ กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี