“คนชายขอบ (Marginal People)” หมายถึงประชากรกลุ่มที่อยู่ห่างไกลจากความรับรู้ถึงการมีตัวตนในสายตาของคนทั่วไป มักเข้าไม่ถึงสวัสดิการต่างๆ ที่รัฐจัดให้ และสุ่มเสี่ยงถูกเอารัดเอาเปรียบจากบุคคลหรือกลุ่มที่มีสถานะทางอำนาจเหนือกว่า ซึ่งในสังคมนั้นคนชายขอบมีหลายกลุ่ม เช่น คนไร้บ้าน แรงงานข้ามชาติ ผู้ขายบริการทางเพศ ผู้มีปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร์ ผู้ต้องขังในเรือนจำรวมถึง “กลุ่มชาติพันธุ์” หรือประชากรชนเผ่าพื้นเมือง
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดงานเสวนา(ออนไลน์) หัวข้อ “ห้องเรียนสิทธิมนุษยชนออนไลน์ ตอน สิทธิชนเผ่าพื้นเมือง” โดยองค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) ซึ่ง เกรียงไกร ชีช่วงเครือข่ายกะเหรี่ยงและสิ่งแวดล้อม และเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาทั่วโลกของชนเผ่าพื้นเมืองมักเป็นการถูกพรากจากที่ทำกินและที่อยู่อาศัยเดิมโดยรัฐใช้กฎหมายและนโยบายในการแย่งชิงและกีดกันการเข้าถึงทรัพยากรของชนเผ่า แต่ให้นโยบายสัมปทานได้ผลประโยชน์
นอกจากนี้การบริการพื้นฐานของภาครัฐทำให้สูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม จึงทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความด้อยโอกาส และการถูกเอารัดเอาเปรียบ อนึ่ง คำว่าชนเผ่าในแต่ละทวีปหรือประเทศให้คำจัดกัดความที่แตกต่างกัน เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ชนเผ่าพื้นเมืองมักหมายถึงชาวพื้นถิ่นส่วนทวีปเอเชียและแอฟริกา มักหมายถึงกลุ่มที่ไม่ได้รับการพัฒนาร่วมกับวัฒนธรรมกระแสหลัก แต่ยังรักษาโครงสร้างแบบชนเผ่า และมีความเกี่ยวดองทางเครือญาติกัน
สำหรับประเด็นเรื่องการเรียกแทนตัวเองนั้น คำว่ากะเหรี่ยงถือเป็นภาษาทางการ และมีชื่อเรียกเฉพาะเช่น ปกากะญอ ม้ง อาข่า หรือในภาคใต้ก็มีพี่น้องมอแกน หรือมอแกลน ทั้งนี้ สำหรับประเทศไทย มีความพยายามออกกฎหมายคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ปัจจุบันมี 3 ร่างคือ 1.ร่างของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หน่วยงานในกำกับดูแลของกระทรวงวัฒนธรรม 2.ร่างของสภาชนเผ่าพื้นเมือง และ 3.ร่างของคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร
“การพัฒนากฎหมายคุ้มครองสิทธิชาติพันธุ์ต่างๆ เราไม่ได้พัฒนาเพื่อจะได้มีกฎหมายที่เป็นเอกสิทธิ์มากกว่าคนอื่น หรือมากกว่าประชาชนคนไทย แต่เราพัฒนาเพื่อจะให้สิทธิต่างๆ ที่ถูกกดทับ ถูกเอาเปรียบ ไม่ได้รับการเข้าถึง ให้มันได้ เราไม่ได้พัฒนาเพื่อเราจะพิเศษกว่าคนอื่นแต่เราจะพัฒนาสิ่งที่เราสูญเสีย ถูกละเมิดไปให้เท่ากับคนอื่น”เกรียงไกร กล่าว
ขณะที่ ธนกฤต โต้งฟ้า เยาวชนกะเหรี่ยงบ้านคลิตี้ล่าง ระบุว่า ในประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์ 63 กลุ่ม คิดเป็นประชากรประมาณ 3 ล้านกว่าคน หรือราวร้อยละ 4.3 ของประชากรไทยทั้งประเทศ เหตุที่กลุ่มชาติพันธุ์ถูกเลือกปฏิบัติเป็นเพราะอคติ เช่น มองว่าเป็นผู้ตัดไม้ทำลายป่าบ้าง ค้ายาเสพติดบ้าง หรือล้าหลังไม่พัฒนาบ้าง โดยไม่ได้ศึกษาว่ากลุ่มชาติพันธุ์มีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่ตั้งถิ่นฐาน อาทิ เรื่องของ “คนกับป่า” ที่รัฐมีทัศนคติว่า “ป่าต้องเป็นป่าเท่านั้น” ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะในป่ายังมีคนอาศัยอยู่ จึงแสดงให้เห็นว่าคนกับป่าอยู่ร่วมกันได้
หรือผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรม คือกรณีของ “เหมืองแร่ตะกั่ว” ที่ผู้บ้านคลิตี้ล่างในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี โรงถลุงแร่ใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องจนทำให้เกิด
สารพิษรั่วไหลสู่แหล่งน้ำสาธารณะ จนชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม และแม้ท้ายที่สุดชาวบ้านจะชนะในทางคดีความ แต่แหล่งน้ำก็ยังไม่ได้ถูกฟื้นฟูให้ใช้อุปโภค-บริโภคได้เพราะยังมีสารพิษตกค้าง และชาวบ้านเองก็ยังตรวจพบสารตะกั่วในเลือด
ประเด็นสิทธิชุมชนและคนกับป่า ถูกขยายความเพิ่มเติมโดย พชร คำชำนาญ ผู้แทนจากภาคีเซฟบางกลอยที่กล่าวว่า ชาวบ้านบางกลอยเคยมีชุมชนอยู่ในป่าตั้งแต่ปี 2455 โดยมีหลักฐานเป็นแผนที่ทางทหารของรัฐ แต่ในเวลาต่อมาพื้นที่ดังกล่าวกลับถูกรัฐประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์และมีการขับไล่ชาวบ้านออกจากที่อยู่อาศัยและที่ทำกินเดิมตั้งแต่ปี 2539 ซ้ำร้ายเมื่ออพยพไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ หลายคนก็ไม่ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกิน หรือแม้จะมีที่ดินแต่ขาดแคลนระบบน้ำ เป็นแรงกดดันให้ส่วนหนึ่งยอมเสี่ยงกลับเข้าไปอยู่ในพื้นที่ดั้งเดิม
ซึ่งเมื่อย้ายกลับเข้าไป ยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐเปิดปฏิบัติการในชื่อ “ยุทธการตะนาวศรี” ในปี 2554 ระดมกำลังเข้าไปขับไล่ชาวบ้านและเผาบ้านเรือนสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมถึงการหายตัวไปของ “บิลลี่” พอละจีรักจงเจริญ ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม ในปี 2557 ทำให้วันนี้แม้จะผ่านมาแล้วถึง 25 ปี แต่ชาวบ้านบางกลอยก็ยังรู้สึกเจ็บปวด
จากเมืองไทยมองออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านพรสุข เกิดสว่าง ผู้อำนวยการเพื่อนไร้พรมแดน เล่าถึงสถานการณ์ใน เมียนมา ที่ขณะนี้มีการชุมนุมประท้วงต่อต้านการทำรัฐประหาร ซึ่งการชุมนุมด้วยเหตุทำนองเดียวกันในอดีตนั้นกลุ่มนักศึกษาที่เรียกร้องประชาธิปไตยจะได้รับความสนใจจากประชาคมโลกอย่างมาก ตรงข้ามกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกแย่งชิงทรัพยากร ถูกเข่นฆ่ากวาดล้างนั้นเป็นเสียงที่ไม่ค่อยถูกได้ยิน อย่างไรก็ตาม ในการประท้วงต่อต้านรัฐประหารครั้งล่าสุด บทบาทของกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับความสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะในหมู่ชาวพม่ารุ่นใหม่
“ประชาธิปไตยไม่อาจเกิดขึ้นได้หากคุณไม่เคารพชนเผ่าพื้นเมือง ฉะนั้นการต่อสู้ในครั้งนี้จึงเปลี่ยนไป เป็นการเรียนรู้ของประชาชนที่น่าตื่นเต้นมากพอสมควร เมื่อพูดถึงชนเผ่าพื้นเมืองในเมียนมา จะมีลักษณะความข้ามพรมแดนเนื่องจากไม่ได้เป็นคนในพื้นที่ดั้งเดิมในสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองจึงมีการสู้ร่วมกันได้ เรียกร้องร่วมกันได้ ไม่ได้แบ่งว่านี่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองไทยหรือชนเผ่าพื้นเมืองพม่า” พรสุข กล่าวในท้ายที่สุด
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี