สกู๊ปแนวหน้า : ชุมชนแออัด-คนจนเมือง(กรุง)  โควิดมาเจ็บทั้งสุขภาพ-ปากท้อง

สกู๊ปแนวหน้า : ชุมชนแออัด-คนจนเมือง(กรุง) โควิดมาเจ็บทั้งสุขภาพ-ปากท้อง

วันเสาร์ ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2564, 06.00 น.

สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 3หรือระลอกล่าสุด จากสถานบันเทิงย่านทองหล่อช่วงต้นเดือนเม.ย. 2564 ลามไปทั่วประเทศ ซึ่งแม้หลายจังหวัดเริ่มคุมอยู่ แต่สำหรับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ยังน่าเป็นห่วงจากข่าวพบคลัสเตอร์หรือการระบาดเป็นกลุ่มก้อนใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “ชุมชนแออัด” ที่การเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ทำได้ยาก และโรคระบาดยังซ้ำเติมชีวิตคนในชุมชนเหล่านี้ที่เป็นผู้มีรายได้น้อย ดังเรื่องเล่าจากงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “โควิดในชุมชน กทม. เรื่องที่ควรรู้”เมื่อเร็วๆ นี้

จักรกฤษณ์ เต็มเปี่ยม ประธานสภาเด็กและเยาวชนเขตคลองเตย และเยาวชนเครือข่ายสลัม 4 ภาคบอกเล่าสถานการณ์ในพื้นที่คลองเตย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดที่การระบาดรุนแรง ว่า หากเข้าใจบริบทของชุมชน จะเห็นว่าเมื่อมีผู้ติดเชื้อ 1 คน โอกาสแพร่กระจายก็มีสูงมากเพราะบ้านเรือนติดกัน และแม้ภาครัฐจะเข้ามาดำเนินการปูพรมตรวจคัดกรองอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ผู้ติดเชื้อได้ไปโรงพยาบาล แต่ก็มีบางรายยังต้องรออยู่ที่บ้านเพื่อรอเตียงว่าง อนึ่ง พื้นที่คลองเตยยังแบ่งเป็นชุมชนย่อยๆ ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ รวม 43 ชุมชน แต่จดทะเบียนอยู่ 39 ชุมชน


ซึ่งการทำงานรับมือการระบาดของไวรัสโควิด-19ระลอก 3 คณะกรรมการชุมชนยอมรับว่าทำงานกันหนักกว่า2 ระลอกที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม มีความช่วยเหลือสิ่งของจำเป็นมาจากภายนอก ทั้งที่ผ่านวัดสะพาน มูลนิธิดวงประทีป หรือบริจาคถึงชุมชนเองแต่ไม่ได้เข้าไปในชุมชนโดยให้กรรมการชุมชนทำหน้าที่บริหารจัดการ แต่อีกด้านหนึ่ง “ชาวคลองเตยก็ถูกมองจากภายนอกอย่างหวาดระแวงว่าจะนำเชื้อไปแพร่ ถึงขั้นที่หลายคนถูกพักงานขาดรายได้” นั่นหมายถึงผลกระทบต่อครอบครัวเพราะชาวคลองเตยทำงานแบบหาเช้ากินเช้า-หาค่ำกินค่ำ

จักรกฤษณ์ เล่าต่อไปว่า ยังมีชุมชนแออัดอีกหลายแห่งที่ประสบปัญหาแบบเดียวกัน และบางแห่งอาจลำบากกว่าคลองเตย เช่น บางส่วนของแฟลตดินแดง เพราะแม้แต่เงินสำหรับซื้อข้าวของทำถุงยังชีพให้ลูกบ้านในชุมชนก็ยังขาดแคลน ผู้นำชุมชนจึงต้องเจียดเงินตนเองมาใช้จ่าย ในขณะที่ชุมชนคลองเตยยังมีคนภายนอกบริจาคเข้ามาบวกกับเจ้าหน้าที่นำโดยผู้อำนวยการเขตก็ทำงานกันหนักมาก จึงอยากให้ทั้ง 50 เขตของกรุงเทพฯ รวบรวมความเดือดร้อนของประชาชนก่อนประสานไปยังฝ่ายพัฒนาชุมชน กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อให้ความช่วยเหลือ รวมถึงปลดล็อกระเบียบเงินอุดหนุนชุมชน ให้ผู้นำชุมชนนำไปใช้จัดสรรสิ่งของจำเป็น

“ใน 50 เขต คลองเตยอาจถือว่าโชคดี มีการระดมกันเกิดขึ้น ทำให้เกิดการตรวจครั้งยิ่งใหญ่เหล่านี้ขึ้นมา ด้วยความที่คลองเตยเป็นชุมชนแออัดด้วย ถ้าเขตอื่นได้รับความโชคดีแบบเรามันคงดี ซึ่งตอนนี้ปัญหาคือรถตรวจมีน้อย มันทำให้ชุมชนอื่นที่เขาอยากตรวจก็จะกระจายไม่ทั่วถึง อย่างเขตข้างเคียงกันผมเห็นใจมากเลย ยานนาวา สาทร ที่ผู้ติดเชื้อเขาเยอะๆ แม้กระทั่งเขตปทุมวันที่เป็นข่าวขึ้นมา ช่วงตรงบ่อนไก่ที่คนติดเชื้อเยอะอย่างปทุมวันได้รถตรวจแล้ว แต่เขตที่กล่าวมานี้ได้รถตรวจน้อยมาก” จักรกฤษณ์ กล่าว

วรรณา แก้วชาติ ตัวแทนจากมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ซึ่งทำงานด้านคนจนเมืองหรือชุมชนแออัด กล่าวว่า คนส่วนหนึ่งเมื่อตกงานก็กลายเป็นคนไร้บ้าน และสถานการณ์โควิด-19 ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้เกิดคนไร้บ้านหน้าใหม่ ขณะที่คนในชุมชนที่ผ่อนบ้านในโครงการบ้านมั่นคงกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. เมื่อขาดรายได้เพราะไม่มีงานทำก็ต้องขอพักชำระหนี้

โดยในชุมชนมีการทำร้านข้าวแกงราคาถูก 15-20 บาท ซึ่งคนตกงานสามารถรับประทานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมถึงระดมความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์ป้องกันการแพร่เชื้อด้วย “บางทีเขาสวมหน้ากากอนามัยอยู่มันอาจจะเป็นชิ้นเดียวที่เขามี ซักแล้วซักอีก 5 บาท10 บาท มันคือเงินที่เขาต้องเก็บในระยะนี้” บ้านเรือนของชาวคลองเตยเฉลี่ยกว้าง 4 เมตร ยาว 7 เมตร หากเป็นบ้าน 2 ชั้น บางหลังอยู่กันถึง 15 คน ไม่เหมาะสำหรับกักตัวกลุ่มที่ไม่มีอาการ จึงมีการจัดหาพื้นที่ในชุมชน เช่น ศูนย์ประชุม ที่ทำการสหกรณ์ แม้กระทั่งบ้านร้างทำเป็นจุดพักคอย

“เราคิดว่าเรารอแค่ภาครัฐไม่ไหว มันต้องดูแลตัวเองด้วย อันไหนเราทำได้จะทำ แต่อันไหนมันเหลือบ่ากว่าแรงต้องส่งโรงพยาบาลเราก็พยายามช่วยประสานงานเต็มที่เพื่อให้ได้รับการรักษา เพราะว่าเราคิดว่าคนจนเมืองหรือคนชุมชนแออัด ค่าชีวิตมันเท่ากันกับคนอื่น ถึงแม้ว่าเราจะเป็นแรงงานของเมือง เป็นแรงงานราคาถูกหลายคนอาจจะมองว่าเป็นคนสลัม แต่คนเหล่านี้ต่างหากที่ขับเคลื่อนเมืองให้มันเดินหน้าต่อไปได้ ฉะนั้นทุกคนต้องมีสิทธิ์เข้าถึงการรักษาพยาบาลและได้รับการดูแลเท่าเทียมกัน” วรรณา กล่าว

วรรณา ยังกล่าวถึงการลงทะเบียนต่างๆ ผ่านออนไลน์ เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งน่าเป็นห่วงเพราะประชากรในชุมชนจำนวนมากมีข้อจำกัดในการใช้เทคโนโลยี หรือแม้แต่คนไร้บ้าน ขณะนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ฉีดวัคซีนหรือไม่ รวมถึงคนไทยที่ยังมีปัญหาสถานะทางทะเบียนราษฎร์ด้วย รัฐจึงควรออกนโยบายโดยคำนึงถึงกลุ่มคนที่หลากหลาย นอกจากนี้ รัฐควรจัดงบประมาณเพื่อจัดหาอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัย ถุงมือยาง รองเท้าบู๊ท เข้าไปในชุมชนให้มากขึ้นซึ่งที่ผ่านมาผู้นำชุมชนบางแห่งทำงานกันหนักมากแม้ไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าวใช้

ขณะเดียวกัน “แม้คนในสังคมจะไม่สามารถยื่นมือมาช่วยอะไรคนในชุมชนแออัดได้มากนักเพราะตนเองก็อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็อยากให้เข้าใจและไม่ตีตรากัน” โรคระบาดนั้นติดได้ไม่ว่ายากดีมีจน คนในชุมชนแออัดก็กลัวติดโรคไม่ต่างจากคนอื่นๆ ในสังคม หรืออาจกลัวมากกว่าคนรวยเสียด้วยซ้ำ เพราะคนรวยยังมีเงินเก็บพอให้อยู่รอดไปได้นานกว่าคนจน

ด้าน อนรรฆ พิทักษ์ธานิน ผู้จัดการแผนงานสนับสนุนองค์ความรู้เพื่อการสร้างเสริมสุขภาวะและคุณภาพชีวิตคนไร้บ้าน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้ความเห็นว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกนี้ น่าจะทำให้คนกรุงเทพฯ เข้าใจชีวิตผู้คนในชุมชนแออัดมากขึ้น แต่กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบหนักกว่าคือคนจนเมืองที่อยู่นอกชุมชนแออัด เพราะอย่างน้อยชุมชนแออัดก็ยังมีระบบชุมชนที่ช่วยเหลือกัน แต่คนจนเมืองที่อยู่ตามห้องเช่าแบ่งซอย เมื่อขาดรายได้ไม่มีเงินคนกลุ่มนี้ก็สุ่มเสี่ยงกลายเป็นคนไร้บ้าน

อนึ่ง “คนจนนั้นก็เข้าใจเรื่องการป้องกันความเสี่ยงแม้จะมีข้อจำกัด เช่น การใช้หน้ากากแบบซักแล้วซักอีกจนสภาพเก่า แต่ก็ยังพยายายามใส่กันให้มากที่สุด แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องปากท้อง” เพราะตั้งแต่การระบาดระลอก 2 ช่วงปลายปี 2563 งานในกรุงเทพฯ หายไปเป็นจำนวนมาก โดยช่วงปี 2561-2562 เคยมีการสำรวจที่ทาง สสส. สนับสนุน พบว่าคนไร้บ้านร้อยละ 90 มีงานทำ เพียงแต่ส่วนใหญ่เป็นงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ พอมีรายได้ประทังชีวิตไปวันๆ หนึ่ง และความช่วยเหลือจากผู้คนในช่วงการระบาดระลอก 2-3 พบว่าน้อยกว่าระลอกแรก ซึ่งเข้าใจได้ว่าแม้แต่คนที่ให้ความช่วยเหลือเองวันนี้ก็คงลำบากไม่ต่างกัน

“ชุมชนแออัดกักตัวไม่ได้ ต้องมีที่ให้เขาไปกักตัวอยู่ตรงกลาง แล้วต้องมีความช่วยเหลือเรื่องปากท้อง เรื่องการทำงาน อาชีพต่างๆ อย่างในคลองเตยหรือในชุมชนต่างๆ ที่ตกงานกันมหาศาล หรือกักตัวอยู่แล้วไม่มีรายได้ ทำอย่างไรให้เขามีรายได้ เอาตรงๆ พี่น้องชุมชนแออัดก็ไม่ได้ต้องการของบริจาคตลอดไป เขาต้องการทำงานเพราะการทำงานคือการมีเกียรติ มันคือการที่เขาสามารถหารายได้ด้วยตัวเอง แสดงศักยภาพของเขา ทำอย่างไรที่เขาจะมีงานพวกนี้ ทำที่บ้านก็ได้เพื่อให้เขามีรายได้จุนเจือต่อไป” อนรรฆ กล่าว

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top