“1.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งจุดประสานงานในพื้นที่สาธารณะในแต่ละจังหวัด ที่ใกล้กับพื้นที่การใช้ชีวิตของคนไร้บ้าน กระจายตามจุดต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยง และความแออัดจากการรวมกันโดยให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการ และประสานการทำงานกับเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ เพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจุดประสานงานจะมีหน้าที่ ดังนี้ 1.1 ให้ข้อมูลข่าวสารสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 รวมไปถึงข้อมูลการป้องกันตัวเอง และการเข้าถึงวัคซีนในระยะต่อไป
1.2 ให้บริการอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ สำหรับคนไร้บ้าน 1.3 ประสานบ้านพักฉุกเฉินของรัฐ หรือส่งต่อสถานพยาบาล กรณีพบว่ามีความเสี่ยงต่อการติดโรคระบาด หรือเมื่อพบการติดเชื้อโควิด-19 1.4 ประสานงานการเข้าถึงสิทธิ์ขั้นพื้นฐานและนโยบายการช่วยเหลือจากภาครัฐด้านต่างๆ เช่น บัตรประชาชน การเข้าถึงการรักษาพยาบาล การช่วยเหลือเยียวยาต่างๆ ของรัฐ
และ 1.5 บริการจัดหางานระยะสั้นกรณีที่คนไร้บ้านต้องการการเข้าถึงการจ้างงาน เพื่อให้มีรายได้ในการดำรงชีวิตประจำวัน 2.ต้องไม่ขับไล่ กวาดต้อนให้คนไร้บ้านออกจากที่สาธารณะ เพราะจะเกิดการเคลื่อนย้าย และไม่สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือ ดูแล เมื่อมีความเสี่ยงที่จะติดโควิด เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ เข้าถึงการช่วยเหลือได้ทันท่วงที และ 3.รัฐบาลต้องมีนโยบายให้คนไร้บ้านได้รับการฉีดวัคซีน ในสถานที่ที่คนไร้บ้านเข้าถึงได้ง่าย”
ข้อเรียกร้องในแถลงการณ์ “เสียงจากคนไร้บ้าน ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ระลอก 3” ที่เผยแพร่โดย “บ้านเตื่อมฝันกลุ่มคนไร้บ้านเชียงใหม่” เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากคนไร้บ้านมักเป็นประชากรกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ต่างจากคนกลุ่มอื่นๆ แต่เป็นกลุ่มท้ายๆ ที่มักถูกนึกถึง โดยนอกจากการอ่านแถลงการณ์ข้างต้นแล้ว ยังมีการเปิดช่องทางออนไลน์ ให้ตัวแทนเครือข่ายคนไร้บ้านหลายพื้นที่ ได้เข้ามาสะท้อนปัญหาถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ
“บุรี สำเร็จ” ตัวแทนเครือข่ายคนไร้บ้าน จ.ระยอง เล่าว่า คนไร้บ้านอยู่อาศัยบนพื้นที่สาธารณะ และส่วนใหญ่มีปัญหาการเข้าถึงสิทธิ ทั้งการตรวจคัดกรองโรค การรับแจกอุปกรณ์ป้องกันโรค เช่น หน้ากากปิดปาก-จมูก เจลแอลกอฮอล์ล้างมือการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็น เช่น การเข้าถึงวัคซีน รวมถึงการสิทธิการรักษาพยาบาลกรณีไม่มีบัตรประชาชน
ด้านตัวแทนเครือข่ายคนไร้บ้าน จ.ปทุมธานี กล่าว เช่นเดียวกับตัวแทน จ.ระยอง แต่เสริมเพิ่มเติมว่ายังมีผลกระทบด้านการทำงานด้วย โดยทีมงานเครือข่ายยังลงพื้นที่ทำงานในย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพฯ หลายคนยังต้องการทำงาน รวมถึงที่ท่าน้ำนนท์ จ.นนทบุรี จะพบคนไร้บ้านที่เป็นผู้ป่วยบ้าง ผู้สูงอายุบ้าง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงในการได้รับอันตรายจากโรคระบาด
ส่วนที่ จ.กาญจนบุรี เครือข่ายคนไร้บ้านในพื้นที่ เล่าว่ามีคนไร้บ้านอยู่ประมาณ 30-40 คน หลายคนบอกว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 3 ลำบากกว่าระลอกแรก เพราะรอบนี้ไม่ค่อยมีคนสนใจคนไร้บ้านเท่าใดนัก ซึ่ง “กุหลาบ”หนุ่มใหญ่ตัวแทนคนไร้บ้านที่นี่ เรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ช่วยก่อสร้างเต็นท์ ตรวจคัดกรองโรค ตลอดจนแจกข้าวกล่องและอาหารแห้ง เพราะตอนนี้ได้รับความเดือดร้อนด้านอาหารค่อนข้างมาก และอยากให้มีจุดประสานงานที่เข้าถึงได้ง่าย
“ครั้งแรกมีหน่วยงานมาแจกข้าวกล่อง แจกข้าวสารอาหารแห้งเยอะ แต่พอถึงงวดนี้ไม่มีหน่วยงานใดมาทำการแจกหรือมาสอบถามพวกผมเลย หรือบางทีเจ้าหน้าที่เขาก็จะมาไล่เวลามานอน ช่วงนี้อยากจะขอร้องว่าอย่ามาไล่เราเลย ช่วงนี้เราก็ลำบากแย่แล้ว อยากจะขอร้องเท่านี้ให้ลดความเข้มข้นลงหน่อย” กุหลาบ ระบุ
ด้าน ภาวัต เป็งวันผูก คณะทำงานคนไร้บ้าน จ.เชียงใหม่ รับหน้าที่สรุปปัญหาในภาพรวมของคนไร้บ้านช่วงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า มีการสำรวจคนไร้บ้านในหลายพื้นที่ ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ 61 คน กรุงเทพฯ ย่านรังสิต จ.ปทุมธานี และ จ.นนทบุรี รวม38 คน จ.ขอนแก่น 26 คน จ.ระยอง 24 คน และ จ.กาญจนบุรี16 คน ระหว่างวันที่ 3-8 พ.ค. 2564 รวมคนไร้บ้านในโครงการสำรวจครั้งนี้ทั้งสิ้น 165 คน ข้อค้นพบประกอบด้วย 1.คนไร้บ้านจำนวนมากเป็นวัยทำงานตอนปลาย อายุตั้งแต่ 36-60 ปี ในที่นี้คือร้อยละ 61 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด
2.คนไร้บ้านจำนวนไม่น้อยไม่มีบัตรประชาชน หากดูจากกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจได้ในที่นี้ พบว่า ร้อยละ 11 เคยมีแต่ทำหายในช่วงเวลาไม่เกิน 6 เดือน ร้อยละ 9 เคยมีแต่ทำหายในช่วงเวลาเกิน 6 เดือน ร้อยละ 7 ไม่มีบัตรประชาชน ร้อยละ 2เคยมีแต่บัตรหมดอายุในช่วงเวลาเกิน 1 ปี และร้อยละ 1 เคยมีแต่บัตรหมดอายุในช่วงเวลาไม่เกิน 1 ปี หากนำกลุ่มเหล่านี้มารวมกันจะอยู่ที่ร้อยละ 30 หรือเกือบ 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ซึ่งบัตรประชาชนมีความสำคัญมากในการเข้าถึงสิทธิรักษาพยาบาลตามระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
3.คนไร้บ้านค่อนข้างมีความรู้เกี่ยวกับโรคระบาดโควิด-19 อาทิ กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่ 133 คน ทราบเรื่องกฎหมายบังคับสวมหน้ากากปิดปาก-จมูกในที่สาธารณะมีเพียง 30 คนที่ไม่ทราบ และอีก 2 คนไม่แน่ใจ เช่นเดียวกับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 155 คนทราบ มีเพียง 10 คนที่ไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม แม้คนไร้บ้านกลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 84 จะสวมหน้ากากปิดปาก-จมูก แต่ยังมีอีกร้อยละ 16 ที่ไม่สวม ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการเข้าไม่ถึงหน้ากาก เพราะร้อยละ 74 ของหน้ากากที่กลุ่มตัวอย่างใช้ มาจากการได้รับบริจาค
รองลงมา ร้อยละ 14 หาซื้อตามร้านค้า และร้อยละ 12 ไปรับแจกตามจุดต่างๆ และการเปลี่ยนหน้ากาก กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 40 เปลี่ยน 2-3 วันต่อครั้ง รองลงมาร้อยละ 36 เปลี่ยนทุกวัน ร้อยละ 13 เปลี่ยน 4-6 วันต่อครั้ง ร้อยละ 9 ไม่เปลี่ยนเลย และร้อยละ 2 เปลี่ยนสัปดาห์ละครั้งดังนั้นภาครัฐควรมีบทบาทกระจายหน้ากากให้ทั่วถึง 4.คนไร้บ้านได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 39ที่ระบุว่ารายได้ลดลง รอลงมาไม่ห่างกันนัก ร้อยละ 35 ระบุว่า กลายเป็นคนตกงาน หากนำ 2 กลุ่มนี้มารวมกันจะอยู่ที่ร้อยละ 74 หรือเกือบ 3 ใน 4
ส่วนร้อยละ 19 ตอบว่าไม่กระทบ และร้อยละ 7ไม่แน่ใจ แต่เมื่อถามถึงนโยบายเยียวยาของภาครัฐ 2 โครงการ คือเราไม่ทิ้งกันกับเราชนะ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ร้อยละ 59 เข้าไม่ถึง รองลงมา 24 เข้าถึงเฉพาะโครงการเราชนะ ร้อยละ 12 เข้าถึงทั้ง 2 โครงการ และร้อยละ 5 เข้าถึงเฉพาะโครงการเราไม่ทิ้งกัน ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 75หรือ 3 ใน 4 ต้องการจุดประสานงานเพื่อเข้าถึงสิทธิ์ สวัสดิการรวมถึงการช่วยเหลือของภาครัฐได้อย่างทันท่วงที
“เราพบเห็นได้ชัดว่าคนไร้บ้านเองไม่ใช่ปัญหาเลย แต่เป็นผลลัพธ์ของปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากภาครัฐได้ ดังนั้นภาครัฐควรตระหนักรู้แล้วร่วมมือช่วยแก้ไขปัญหานี้ต่อไป” ภาวัต กล่าวทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี