“50 ล้านคน” เป็นเป้าหมายสำหรับประเทศไทยในการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ตามเกณฑ์สากลที่ระบุว่าหากฉีดได้ร้อยละ 70 ของประชากรทั้งประเทศ จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) จนสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เบาบางลงไม่เป็นวิกฤติร้ายแรงอีกต่อไป แต่ “ความท้าทาย” ในการปูพรมฉีดวัคซีนของไทยก็เป็นเช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่ “ความเชื่อมั่นในภาครัฐ” เป็นตัวแปรสำคัญต่อการตัดสินใจของประชาชน
ในวงเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “รัฐ-สื่อ-สังคม: ใครคือทางออกวิกฤติข่าวสารเรื่องวัคซีน” ซึ่งจัดโดยภาคีโคแฟค ประเทศไทย (COFACT Thailand) ร่วมกับ UbonConnect เมื่อเร็วๆ นี้ กฤตนัน ดิษฐบรรจง ผู้ก่อตั้งกลุ่ม “ส่องสื่อ” ตั้งข้อสังเกตว่า “ภาครัฐไม่มีความชัดเจนเรื่องข้อมูลตั้งแต่แรก”ซึ่งเมื่อประกอบกับสถานการณ์โรคระบาดทำให้จำกัดการเข้าไปทำข่าวของสื่อมวลชนเพื่อป้องกันตนเอง
อย่างไรก็ตาม การไม่ให้สื่อเข้าไปทำข่าว ผลกระทบคือสื่อไม่สามารถซักถามข้อสงสัยได้ ทั้งที่บางเรื่องอาจฟังแล้วยังเข้าใจไม่ชัดเจน หรือกรณีการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกันเรื่องข้อเสนอประชาชนสามารถเดินทางไปฉีดวัคซีนโดยไม่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า (Walk In) ซึ่งตอนแรก กระทรวงสาธารณสุข บอกว่าทุกจังหวัดทำได้เลย แต่ไม่นานนัก กรุงเทพมหานคร (กทม.) กลับบอกว่ายังไม่พร้อม
หรือการเปรียบเทียบประสิทธิภาพวัคซีนโควิด-19 จำนวน 2 ยี่ห้อที่มีใช้ในประเทศไทยขณะนี้อย่างซิโนแวคกับแอสตราเซเนกา ก็ถูกตั้งคำถามเช่นกันว่า เหตุใดจึงใช้ข้อมูลการฉีดซิโนแวค 2 เข็ม มาเทียบกับข้อมูลการฉีดแอสตราเซเนกา 1 เข็ม หรือแม้กระทั่งผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนไม่ว่ายี่ห้อใดๆ ก็ตาม รัฐบาลก็ยังไม่บอกให้ชัดเจนว่าหากเกิดแล้วประชาชนควรทำอย่างไร โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวซึ่งต้องนำมาพิจารณาในการฉีดวัคซีนด้วย
“เขาจะสามารถหาข้อมูลได้จากไหนในเมื่อภาครัฐไม่มีข้อมูล ในเมื่อภาคประชาสังคมก็ให้แต่ความคิดเห็น (Opinion) ของหมอ ว่าคุณควรที่จะ 1 2 3 4 นู่นนี่นั่น ต้องปรึกษาหมอนะซึ่งสุดท้ายด้วยความที่คุณเชื่อว่าฉีดออกไปน่าจะได้ผล แต่ถ้าสมมุติเขาฉีดไปแล้วมันมีปัญหาขึ้นมา ปัญหาอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นใน 30 นาทีแรก เขาควรจะทำอย่างไรต่อ อันนี้มันไม่มีข้อมูลจากภาครัฐออกมาเลย” กฤตนัน กล่าว
เช่นเดียวกับ เจนพสิษฐ์ ปู่ประเสริฐ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม “ยามเฝ้าจอ” ที่ตั้งข้อสังเกตกรณีมีนักวิชาการเข้าไปร่วมทำงานเป็นคณะที่ปรึกษาของ ศบค. แต่กลับใช้ช่องทางเฟซบุ๊คส่วนตัววิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อมวลชนโดยอ้างสถานะความเป็นนักวิชาการ ว่า แม้จะสามารถทำได้แต่การมี 2 บทบาทก็ต้องระมัดระวัง และเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ต่อต้านการฉีดวัคซีนแต่ปัญหามาจากประสิทธิภาพของวัคซีนที่เป็นข้อถกเถียงกัน
“ประสิทธิภาพของวัคซีนที่ถูกถกเถียงกันเป็นวงกว้างจากการนำเสนอของสื่อก็ตามหรือจากการค้นหาข้อมูลด้วยตนเอง มันทำให้ประชาชนก็ไม่แน่ใจว่าวัคซีนที่ตอนนี้มีอยู่แค่ 2 อนาคตมันอาจจะมีเพิ่มเข้ามา เขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาฉีดแล้วเขาจะไม่มีปัญหา อันนี้ก็เป็นประเด็นที่จะต้องรับฟังในเสียงของประชาชน มันหลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน คืออย่างน้อยมันควรเปิดให้มีการถกเถียง อย่าไปมองว่าคนที่เขากลัวยี่ห้อนี้เป็นไม่อยากฉีดเลย ไปตีความแบบนี้ก็ไม่ใช่” เจนพสิษฐ์ กล่าว
มุมมองจากนักกฎหมาย ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมโรคระบาด ว่า
“ยิ่งอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินรัฐยิ่งต้องตรวจสอบได้” เพราะการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทำให้รัฐมีอำนาจมาก แต่อำนาจต้องมาพร้อมความรับผิดชอบ และการที่รัฐจะมีความรับผิดชอบรัฐต้องสามารถถูกตรวจสอบได้ และปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย โดยในรอบปีที่ผ่านมา มีรายงานสื่อมวลชนถูกฟ้องคดี ถูกเซ็นเซอร์หรือกลั่นแกล้ง เมื่อมีการรายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19
ถึงกระนั้น “ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลจนไม่สามารถควบคุมได้ ต่อให้สื่อรายงานทุกอย่างตามรัฐ ถามว่าจะไม่มีใครตรวจสอบรัฐจริงหรือ เพราะยุคนี้ใครๆ ก็มีเครื่องมือสื่อสารอยู่ในมือ และการที่รัฐใช้อำนาจหรือกฎหมายไปจัดการสื่อ จะทำให้คนเชื่อรัฐหรือยิ่งระแวงรัฐกันแน่” สิ่งที่รัฐควรทำคือ 1.ทำให้ข้อมูลสอดคล้องกันทุกครั้งที่นำเสนอ 2.หากผิดก็ต้องขอโทษอย่างจริงใจ และ 3.ทำงานร่วมกับสื่อเพื่อให้การนำเสนอข้อมูลไม่ก่อให้เกิดความสับสน หรือเปิดให้สื่อตั้งคำถามได้โดยตรง เพราะความโปร่งใสทำให้คนเชื่อใจได้มากกว่าการบอกว่าควรหรือไม่ควรเชื่ออะไร
“ยุคโซเชียลมีเดีย Social Media (สื่อออนไลน์) คนก็จะมาบอกว่าสื่อไม่มีความรับผิดชอบ คุณพูดผิดคุณออกมาขอโทษสิ! มันมีการใช้แรงกดดันทางสังคมเยอะมากๆ นะในการให้สื่อออกมาแสดงความรับผิดชอบตรงนี้ แต่รัฐบอกว่าไม่ต้อง! ช้าไป! ฉันขอใช้ไม้เรียวเลย มันก็จะเกิดคำถามในใจคนว่าที่ต้องมาเล่นยาแรงกันแบบนี้เป็นเพราะมีอะไรอยากจะปกปิดอยู่หรือเปล่า อันนี้คือปฏิกิริยาของคน มันก็จะมีแบบนี้ด้วยนะ ไม่ได้มีแต่ดีจังเลยรัฐบาลเข้ามาปิดปากพวกสื่อที่พูดจาไม่รับผิดชอบ ไม่เห็นหัวคนที่เขาทุกข์ร้อนอยู่ มันมีทั้ง 2 ทาง
เพราะท้ายที่สุดแล้วข้อมูลมันไม่ได้ขาว-ดำ 100% ข้อมูลมันเป็นสิ่งที่คนฟังแล้วเราก็เลือกเชื่อ เราไม่สามารถบังคับให้คนเชื่อได้ ต้องตั้งต้นกันตรงนี้ ฉะนั้นการใช้ไม้เรียวปิดปากสื่อบางกลุ่มมันไม่ได้ทำให้คนเชื่อในสิ่งที่รัฐอยากจะเชื่อจริงๆดังนั้นการทำอะไรสักอย่างที่อยากให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์แบบนี้มันต้องอธิบายให้ได้นะ ซึ่งมันก็มีรายงานวิจัย มีอะไรออกมาเยอะแยะมากมาย ว่าวิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด” อาจารย์ฐิติรัตน์ กล่าว
เช่นเดียวกับ กุลชาดา ชัยพิพัฒน์ ที่ปรึกษาโคแฟค ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า การปิดกั้นข้อมูลจะยิ่งทำให้ผู้คนสงสัยว่าข้อมูลที่ถูกปกปิดนั้นเป็นอย่างไร “ยิ่งปิดยิ่งอยากรู้..ยิ่งกระตุ้นให้อยากค้นหาและมีแนวโน้มที่จะเชื่อ” ดังนั้นการเซ็นเซอร์จึงไม่เป็นผลดีต่อการสร้างความเชื่อมั่นในรัฐ เรื่องนี้เคยมีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา ในรอบปีที่ผ่านมาพบว่า ยิ่งรัฐปิดกั้นข้อมูลก็ยิ่งทำให้คนลังเลหนักขึ้นไปอีก ทำให้การที่รัฐจะให้ข้อมูลที่มีคุณภาพ มีตัวเลขสถิติ พลอยถูกลดทอนความน่าเชื่อถือลงไปด้วย
ปิดท้ายด้วย ผศ.ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา ฝากข้อคิดถึงภาครัฐที่ต้องสื่อสารอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาและต้องใจกว้าง ใช้การชี้แจงข้อเท็จจริงหรืออธิบายความต่างของข้อมูลมากกว่ามาตรการทางกฎหมาย หากอธิบายได้ดีเชื่อว่าสังคมน่าจะยอมรับได้ เช่น การประคองระหว่างสุขภาพกับเศรษฐกิจ ขณะที่สื่อแม้จะนำเสนอข่าวอย่างรวดเร็วได้แต่ต้องรอบคอบด้วย หากผิดพลาดก็ต้องรีบแก้ไขทันที
หากทำเช่นนี้ได้ก็จะเป็นการอยู่แบบดูแลซึ่งกันและกันไม่ใช่จัดการกันและกัน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี