กายและจิตเมื่อยังปกติดีอยู่ย่อมทำงานร่วมกันได้ทุกๆ กรณี หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชำรุดพิการ นั้นแล จึงจะทำร่วมกันไม่ได้ เพราะขาดสายสื่อสัมพันธ์กัน สายสื่อสัมพันธ์ที่ว่านี้ หลักวิชาแพทย์เขาเรียกว่า เซลล์เช่นเซลล์สมอง สั่งงานให้คิดให้ส่งส่วยไปต่างๆ นานาเป็นต้น ทางพุทธศาสนาเรียกว่าประสาท เช่น ประสาทตา ทำให้เห็นรูป ประสาทหู ทำให้ได้ยินเสียง เป็นต้น แต่บางทีหมอเขาก็เรียกคนที่มีความคิดไม่ปกติว่า คนประสาทเสื่อมเหมือนกัน จะอย่างไรก็ตาม นักอบรมจิตหรือผู้ภาวนากรรมฐาน เชื่อมั่นลงแน่แน่วทีเดียวว่า
คนตายจิตออกจากร่างแล้ว ไม่ยอมรับรู้ ไม่ร่วมทำงานด้วยเซลล์หรือประสาท เซลล์หรือประสาท ก็จะไม่มีผลอันใดทั้งหมด เมื่อความอบอุ่นยังมีอยู่ เซลล์หรือประสาทก็อาจยังมีปรากฏอยู่ก็ได้ แต่ไม่มีอันใดเป็นเครื่องรับรอง เพราะจิตผู้รับรู้ไม่มีเสียแล้ว เรื่องนี้เราจะสังเกตเห็นได้ จากสัตว์ที่ตายใหม่ๆ ยังมีไออบอุ่นอยู่ ประสาทหรือเส้นเลือดของมันยังกระตุกเต้นอยู่เลย นั้นแสดงว่าเซลล์หรือประสาทมันยังทำงานอยู่ แต่ชีพจรหรือลมมันอ่อนจนไม่ปรากฏเสียแล้ว
ที่อธิบายมาทั้งหมดนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า เซลล์หรือประสาทมิใช่จิตเป็นผู้รับสัมผัสนั้นๆเท่านั้น จิตต่างหากเป็นผู้รับรู้สัมผัสนั้นๆ แล้วก็ยังไม่ทำให้เกิดกิเลสอันใดขึ้นมาก่อน ต่อเมื่อเกิด ตัณหา อุปาทาน ดังได้อธิบายแล้ว จึงจะเกิดกิเลสขึ้นมา ฉะนั้น ถึงเซลล์หรือประสาทจะร่วมทำกรรม ด้วยกันกับจิตก็ตาม เมื่อยังอยู่ร่วมกันก็ร่วมกันเสวยผลของกรรมนั้นสืบไป เมื่อเซลล์หรือประสาทชำรุดทำงานตามปกติร่วมใจไม่ได้แล้วกายแตกดับ ผลของกรรมนั้น ใจจะเป็นคนรับเอา แต่ผู้เดียว แล้วผลกรรม คือวิบากนั้นแล จะเป็นมัคคุเทศก์ นำจิตให้ไปเกิดในที่นั้นๆ ส่วนเซลล์ หรือประสาท อันเป็นรูปธาตุ ไม่สามารถสลายตัวหนีไป จากกามภูมิพื้นดิน อันนี้ได้สลายตัว จากนี้แล้วก็ไปก่อตัวขึ้นในที่อื่นอีกต่อไป
พระอริยเจ้าที่ท่านชำนาญในการเข้าฌานบังคับจิตให้อยู่ในองค์ฌานอย่างเต็มที่ เข้านิโรธสมาบัติอยู่ได้ตั้งอาทิตย์ ลมหยาบๆ ไม่ปรากฏระบายออกมาทางจมูกเลย เรียกว่าดับลมหายใจเข้าออก แต่ยังไม่ตาย ร่างกายทุกส่วนยังปกติอยู่ตามเดิม แต่หมดความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนลมอันละเอียดที่ซาบซ่านไปตามสรรพางค์กายยังมีอยู่ ถึงเซลล์หรือประสาทจะยังทำงานอยู่ก็ตาม แต่จิตไม่มารับรู้ด้วยแล้ว พอจะสรุปได้แล้วว่า คนเรานี้เมื่อรูปกับนามคือกายกับใจยังปกติอยู่ก็ทำงานร่วมกันไป บางทีจิตคิดจะทิ้งกายก็ทิ้งเอาเฉยๆ โดยกายไม่ยอมรับรู้ด้วยก็มีดังกล่าวมาแล้ว บทกายจะเบี้ยวจิตก็มิใช่ย่อยเหมือนกันอยู่ดีๆ บางทีช็อคตาย รถทับตาย ตกเครื่องบินตาย เส้นโลหิตแตกตาย ฯลฯ จิปาถะ ทั้งๆ ที่จิตมิได้มีเรื่องอะไรกับกายเลย มันแปลก
กายกับจิตนี้ก่อนเขาจะมาอยู่ร่วมกันก็ไม่ได้สนิทสนมกันมาแต่ก่อนเลย เวลาเขาจะแยกทางกันไปก็ไม่ได้บอกเล่าเก้าสิบอะไร โดยเขาไม่ได้มีเรื่องอะไรกันสักนิดเดียว แล้วก็ไม่มีใครจะอาลัยอาวรณ์ถึงกันและกันเลย แยกทางกันไปแล้วก็แล้วกัน ถ้าอย่างนั้น อะไรเล่าเมื่อเจ็บหรือจวนจะตายทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อน พระพุทธเจ้าตรัสว่า-นั่นคือกิเลส ใจมันไปหอบเอากิเลสมาไว้ที่ใจ คนเราเลยถือว่าใจเป็นกิเลส หากใจเป็นกิเลสเสียเอง แล้วใครเล่าจะชำระใจให้บริสุทธิ์ได้ใจมิใช่กิเลส กิเลสมิใช่ใจ แต่ใจไปรับช่วงเอาผัสสะอันเกิดจากอายตนะ เช่นตาเห็นรูปเป็นต้น แล้วเอามายึดไว้ที่ใจจนเกิดความรักใคร่พอใจ หรือเกลียดโกรธไม่พอใจ จึงทำใจให้มัวหมอง เพราะของสิ่งนั้นเป็นเหตุต่างหาก จึงเรียกว่า กิเลส ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ เป็นบัญญัติธรรมบอกให้รู้ว่า สิ่งนั้นชื่อว่าอย่างนั้นมีหน้าที่อย่างนั้นๆ ต่างหาก
จิตเป็นผู้เข้าไปยึดเอาบัญญัติธรรมมาเป็นตนเป็นตัว เมื่อบัญญัติธรรมทำงานตามหน้าที่ของมันอยู่ จิตก็เลยถือว่าตนเป็นผู้รับหน้าที่ทำงานไปเสียเอง จึงเข้าใจว่าจิตของตนเป็นกิเลส ธาตุแท้ของตะกั่วก็เป็นตะกั่วอยู่ตามเดิม ถึงแม้จะประสมเข้ากันกับทองคำแล้วก็ตาม เมื่อไล่ทองคำออกแล้ว ตะกั่วก็ต้องเป็นตะกั่วอยู่ตามเดิมนั้นเอง กายเป็นรูปธาตุ จิตเป็นนามธรรม สังขารเป็นอาการของจิตคิดปรุงแต่งรูปธาตุมาเป็นพาหนะให้ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อหมดความจำเป็นแล้วก็ทอดทิ้งไว้ที่เดิมของมัน สังขารจิตรกรช่างใหญ่สร้างโลกไม่มีที่สิ้นสุดไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย โลกนี้จึงกว้างใหญ่ไพศาลหากประมาณมิได้
ผู้เขียนรู้ตัวว่า เรามิใช่นักกายวิภาคชีววิทยา ที่อธิบายไปนั้นเป็นเพียงมติของตนเอง เพื่อประโยชน์แก่อารมณ์ของผู้เจริญกรรมฐานเท่านั้น อาจผิดหรือถูกก็ได้ จึงขออภัยแด่ท่านผู้รู้ทั้งหลายไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย หากผิดพลาดจะกรุณาเพิ่มเติมหรือให้ความสว่างอีกผู้เขียนก็ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย
....................................
โอวาทธรรม หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย คัดลอกจากลานธรรมจักร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี