วันวิสาขบูชาเป็นวันที่เราระลึกถึงการประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสามเหตุการณ์นี้ถือว่าหัวใจน่าจะอยู่ที่การตรัสรู้ ชาวพุทธเราน่าจะถือว่าการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ในวันนั้นพระโพธิสัตว์ก็ได้ละกิเลสทั้งหลายทั้งปวง เข้าถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องภายในพระหฤทัยของพระองค์ ปัญญาและความเมตตากรุณาก็ถึงพร้อมให้เป็นพระพุทธเจ้าผู้สมบูรณ์ด้วยมหาปัญญาธิคุณ มหากรุณาธิคุณ มหาบริสุทธิคุณ แต่ที่สำคัญก็คือพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถึงจะเป็นมนุษย์พิเศษที่เราให้เกียรติว่าเป็นพระโพธิสัตว์ก็ตาม ก่อนตรัสรู้พระพุทธเจ้าก็ยังเป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรา แล้วการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นการพิสูจน์ถึงศักยภาพของมนุษย์ที่จะตรัสรู้ พระพุทธองค์ตรัสรู้ในฐานะเป็นตัวแทนของหมู่มนุษย์
ฉะนั้นความเชื่อของชาวพุทธในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่า ทั้งๆ ที่เราไม่มีสิทธิ์ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีที่แล้วที่ประเทศอินเดียก็ตาม ความเชื่อที่เป็นหลักชีวิตของเราทุกวันนี้ก็คือมนุษย์มีศักยภาพที่จะตรัสรู้ธรรม เพราะพระพุทธองค์เป็นผู้ทำให้เราดู เป็นผู้นำ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็คงไม่มีใครเชื่อว่าเป็นไปได้แม้แต่อาจารย์สอนสมาธิของพระโพธิสัตว์ก็ยังถือว่าพระพุทธองค์ก็ถึงที่สุดแล้วตั้งแต่ออกจากพระราชวังใหม่ๆ แต่พระพุทธองค์ก็มีความไม่สันโดษในกุศลธรรม สำนึกว่ายังไม่ใช่
พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระพุทธองค์จึงใช้ ๔๕ พระพรรษา ที่เหลืออยู่ในการโปรดสัตว์ เพราะปัญญาที่แท้จริงย่อมปรากฏเป็นความเมตตากรุณา เมื่อพุทธองค์ได้หยั่งรู้ว่าความทุกข์ของมนุษย์ ความทุกข์ทางใจ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องยอมรับ ไม่ใช่เป็นการดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เกิดเพราะอวิชชาและตัณหา และมนุษย์เราสามารถละบาปบำเพ็ญกุศล ชำระจิตใจของตนให้ขาวสะอาด จนสามารถเจริญตามพระยุคลบาทของพระองค์ได้
ฉะนั้นความเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าย่อมนำไปสู่ความเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ที่จะตรัสรู้ธรรม และก้าวสุดท้ายนี่สำคัญที่สุดความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเราไม่ว่าชายไม่ว่าหญิงที่จะตรัสรู้ธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่สำคัญยิ่งก็อยู่ภาคปฏิบัติในการที่เราพยายามพิสูจน์สิ่งที่เราเชื่อว่าเราละบาปได้ไหม บำเพ็ญกุศลได้ไหม ชำระจิตใจของเราได้ไหม แต่ก่อนที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพาน พระองค์ทรงฝากข้อคิดที่สำคัญอีกข้อหนึ่งว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ความไม่ประมาทก็คือเราพร้อมที่จะรับมือกับความจริงทุกประการทุกเวลา ความไม่ประมาทคือความพร้อม
ฉะนั้นไม่ว่าสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่ลำบากมากพอสมควร แต่เราสามารถทำจิตใจของเราให้ไม่เป็นทุกข์ ให้เป็นทุกข์น้อยที่สุด หรือเป็นทุกข์น้อยลง ด้วยการนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาพัฒนากาย วาจา ใจ ก็ในวันวิสาขบูชานี้ก็ขอให้เราทุกคนสำนึกในความไม่ประมาท ในการที่จะฝึกให้มีความพร้อมที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ทุกอย่างไม่ว่าสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ไม่ชอบ ให้มีความเพียรพยายามในการฝึกกาย วาจา ใจ เพื่อเราจะได้มีส่วนในการสืบต่ออายุของพระพุทธศาสนาต่อไป
โอวาทวันวิสาขบูชา โดย พระอาจารย์ชยสาโร ๒๖.๐๕.๒๕๖๔
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี