“สื่อดิจิทัล” อันหมายถึงอินเตอร์เนตและสื่อออนไลน์ด้านหนึ่งนั้นมีประโยชน์อย่างมากในการเป็นแหล่งข้อมูลค้นหาความรู้ ตลอดจนเป็นช่องทางสร้างโอกาสในอาชีพ แต่อีกด้านหนึ่ง สื่อใหม่ชนิดนี้ก็ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้คนอย่างมากเช่นกันโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนดังเรื่องเล่าจากงานประชุม (ออนไลน์) ในโครงการ “การศึกษาการใช้สื่อดิจิทัลของเด็กและเยาวชนในอนาคต และข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย” ที่ผ่านพ้นไปเมื่อเร็วๆ นี้
รศ.ดร.พรพรรณ ประจักษ์เนตร ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า ปัจจุบันเด็กไทยอายุตั้งแต่ 6-14 ปี จะมีพฤติกรรมในคอมพิวเตอร์ในระดับสูงที่สุด เห็นได้จากร้อยละ 61.9จะใช้เป็นอินเตอร์เนตทั้งเพื่อการศึกษา การดาวน์โหลดภาพฟังเพลง และเล่นเกม ส่วนเยาวชนที่มีอายุ 15-24 ปี กว่าร้อยละ 51.9 จะใช้อินเตอร์เนตเพื่อการศึกษาและหาข้อมูลเป็นส่วนใหญ่
กิจกรรมที่เยาวชนมักจะทำบนอินเตอร์เนตมักจะใช้ในเรื่องของสื่อสังคมออนไลน์ มากถึงร้อยละ 98 รองลงมาใช้เพื่อความบันเทิง ร้อยละ 94.5 และใช้เพื่อแบ่งปันและการปฏิสัมพันธ์กับเครือข่าย ร้อยละ 61.8 ซึ่งจากวิจัยเชิงสำรวจโดยการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างเยาวชนไทยตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6ทั่วประเทศ จำนวน 542 คน พบว่า 1.เพศชายและเพศหญิงมีจำนวนใกล้เคียงกัน 2.รูปแบบการใช้สื่อออนไลน์ผ่านช่องทางโทรศัพท์มือถือมากที่สุด 3.มากกว่าครึ่งใช้เวลาในการใช้งานอินเตอร์เนตมากกว่า 5 ปีขึ้นไป
4.ค่าใช้จ่ายในการใช้อินเตอร์เนตต่อเดือน ประมาณ 0-800 บาท 5.ระยะเวลาในการรับสื่อต่อวันประมาณวันละ4-6 ชั่วโมง และ 6.กิจกรรมที่ทำบนโลกออนไลน์ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อความบันเทิง ค้นหาข้อมูลทั่วไป การโพสต์สเตตัสโพสต์รูป เขียนเรื่องราวต่างๆ และการเรียนออนไลน์ นอกจากนี้ผลการวิจัยจากการศึกษามิติทักษะของเยาวชนในศตวรรษที่ 21 โดยแบ่งเป็น 3 มิติ ได้แก่ 1.มิติทักษะชีวิต 2.มิติทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม และ 3.มิติทักษะสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี
รศ.ดร.พรพรรณ กล่าวต่อไปว่า โดยภาครวมเยาวชนไทยมีทักษะค่อนข้างสูง แต่เมื่อดูในแต่ละทักษะจะเห็นว่าเยาวชนไทยมีทักษะสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยีมากที่สุด รองลงมาเป็นทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ท้ายสุดเป็นทักษะชีวิต จึงจำเป็นต้องแก้ไขบางทักษะเพื่อให้เยาวชนมีทักษะเพิ่มขึ้น เช่น ทักษะความคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะด้านสื่อ เป็นต้น จึงทำให้เกิดข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหา โดยแบ่งเป็น
“ข้อเสนอแนะสำหรับกระทรวงศึกษาธิการ” เนื่องจากเยาวชนไทยมีทักษะในการแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ข่าวในอินเตอร์เนตในทางที่สร้างสรรค์ต่ำดังนั้นควรมีเผยแพร่โครงการด้านการวิพากษ์วิจารณ์บนอินเตอร์เนตอย่างสร้างสรรค์ เพื่อกระตุ้นและปลูกจิตสำนึกให้กับเยาวชน ควรผลักดันระบบการเรียนการสอนให้มีการทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อให้มีศักยภาพในการเป็นผู้นำที่ดี และควรออกแบบกิจกรรมในห้องเรียนให้มีการเขียนบล็อกบรรยายเรื่องราวต่างๆ เพื่อให้ฝึกฝนและพัฒนาการเขียนบนอินเตอร์เนตอย่างสร้างสรรค์
“ข้อเสนอแนะสำหรับโรงเรียน” ควรมีการจัดทำแผนการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนตามระดับขั้นของการเรียน และควรกำหนดทิศทางในการพัฒนาทักษะให้สอดคล้องกับบริบทของชั้นเรียนและอายุ นอกจากนี้ควรทำระบบติดตามและวัดทักษะในศตวรรษที่ 21 ส่วนบุคคลเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็น เนื่องจากแต่ละบุคคลมีทักษะไม่เท่ากัน
และ “ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ปกครอง” ควรที่จะพัฒนาทักษะการใช้สื่อกับบุตร ด้วยการสอนให้พิจารณาเนื้อหาที่สร้างสรรค์และแบ่งปันก่อนเผยแพร่ผ่านสื่อจริงจัดสภาพแวดล้อมของบ้านให้มีการสื่อสารพูดคุยในลักษณะสร้างสรรค์ และผู้ปกครองควรจะผลักดันให้เยาวชนเกิดความคิดริเริ่มใหม่ผ่านกิจกรรมต่างๆ ในครอบครัว เพื่อให้เยาวชนสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่และก่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพตนเองได้
ขณะที่ ผศ.ดร.บุหงา ชัยสุวรรณ รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรม นิด้า กล่าวเสริมในส่วนของทักษะในศตวรรษที่ 21 ที่ควรมี ประกอบด้วย1.การใช้สื่อออนไลน์จำเป็นต้องให้เด็กประถมศึกษาปีที่ 1-6อยู่ภายใต้การดูแลของผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด 2.รายการที่มีเนื้อหาในเชิงบวก เช่น ความรู้พื้นฐานด้านการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจ การเป็นผู้ประกอบการ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขภาพ การเป็นพลเมือง และรู้ต่อโลก ควรได้รับการส่งเสริมให้มีการผลิตมากยิ่งขึ้น
3.รูปแบบวีดีโอที่ผลิตขึ้นส่วนใหญ่เป็นการแสดงละครสั้น และ Vlog ทำให้เป็นพื้นที่ให้เด็กแสดงออก โดยมีผู้ปกครองให้ความดูแล ช่วยดำเนินการ ดังนั้นทั้งเด็กและผู้ปกครองจึงควรได้รับการฝึกฝนทักษะเชิงเทคนิคในการผลิตต่อไป 4.ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญในการดูแลและส่งเสริมทักษะของเด็กอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และมีส่วนช่วยในการคัดกรองเนื้อหาจากสื่อสังคมออนไลน์
ต่างๆ 5.ผู้ปกครองควรเพิ่มบทบาทและความสำคัญของตนเอง และพัฒนาทักษะในการสร้างสรรค์สื่อ ทักษะในการผลิตยูทูบเบอร์ของตน เพื่อที่จะได้พัฒนาทักษะของบุตรหลานต่อไป
6.ผู้ปกครองควรจัดสรรเวลาที่เหมาะสมในการอนุญาตให้บุตรหลานได้เข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการใช้เวลากับสื่อสังคมออนไลน์และกิจกรรมต่างๆ 7.ผู้ปกครองได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐในการสร้างสรรค์สื่อออนไลน์ค่อนข้างต่ำ ดังนั้นภาครัฐควรแสดงบทบาทส่วนนี้ให้สูงขึ้น 8.ภาครัฐควรให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง ด้วยการจัดทำชุดความรู้แนวทางการดูแลบุตรในการใช้สื่อสังคมออนไลน์สำหรับผู้ปกครอง และ 9.ภาครัฐควรจัดกิจกรรมสำหรับพัฒนาทักษะในการผลิตและสร้างสรรค์สื่อให้แก่ผู้ปกครอง
ด้าน ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรม นิด้า กล่าวว่า จากการศึกษาพบกลุ่มนักเรียนมัธยมส่วนใหญ่ใช้งานสื่อดิจิทัลประมาณ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนกลุ่มเด็กอายุ 6-12 ปี ส่วนใหญ่จะใช้งานต่ำกว่า 4 ชั่วโมงต่อวันแต่เป็นที่น่าสังเกตว่าเด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปีแทบทุกคน จะเริ่มใช้สื่อดิจิทัลเมื่ออายุเพียง 2-3 ปีเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าเด็กรุ่นใหม่มีการเริ่มต้นใช้สื่อดิจิทัลที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ
ซึ่งพฤติกรรมการใช้สื่อในทางที่สร้างสรรค์และไม่สร้างสรรค์มีหลายประการ เช่น ช่วยทำการบ้าน ติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ที่สนใจ เป็นต้น ส่วนที่ไม่สร้างสรรค์ก็มีจำนวนมากเช่นกัน เช่น เล่นพนันออนไลน์ ใช้คำหยาบคายทางออนไลน์ ดูสื่อที่ไม่เหมาะสมเป็นต้น โดยสื่อออนไลน์ทำให้มีผลกระทบเชิงบวก เช่น ได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ สามารถสร้างอาชีพได้ เป็นต้น ส่วนผลกระทบเชิงลบก็เช่นกัน ได้แก่ ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างและโลกความเป็นจริง ปัญหาการควบคุมอารมณ์ เป็นต้น
แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาในการใช้สื่อดิจิทัลของเด็กและเยาวชนที่เห็นได้ชัด ได้แก่ เยาวชนขาดทักษะความรู้เท่าทันสื่อ โรงเรียนยังดูแลไม่ดีเท่าที่ควร ภาครัฐไม่มีการกำกับดูแลสื่อที่ไม่เหมาะสมเท่าที่ควร ไม่มีสื่อสร้างสรรค์เพียงพอ และมีการชักจูงและเลียนแบบจากคนดังบนโลกออนไลน์ จึงต้องมีแนวทางส่งเสริมเด็กและเยาวชนไทย ในการใช้สื่อดิจิทัลในทางสร้างสรรค์
“ในส่วนของผู้ปกครอง” ได้แก่ 1.แนะนำให้ใช้สื่อที่เหมาะสมแก่เด็ก 2.ไม่ใช้คำพูดที่รุนแรงและเชิงลบ 3.ใช้สื่อไปพร้อมกับเด็ก 4.มีกติกาชัดเจน และ 5.เชื่อมโยงสิ่งที่อยู่ในสื่อให้ออกมาเป็นการทำจริง “ในส่วนหน่วยงานต่างๆ”ต้องพยายามเร่งสร้างทักษะเท่าทันสื่อ 2.ส่งเสริมให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความคิดที่ดี 3.โรงเรียนควรมีแนวทางให้เด็ก 4.ภาคเอกชนควรให้ความร่วมมือในการสร้างสรรค์สื่อ4.สนับสนุนการวิจัย เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน 5.สนับสนุนให้เกิดพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ และ 6.สื่อมวลชนควรยึดมั่นจริยธรรม!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี