เป็นที่ยืนยันแน่ชัดแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใดก็ตามพอ “เหล้าเข้าปาก” มักจะส่งผลให้เกิดการใช้ความรุนแรงตามมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยยืนยันได้จากผลการศึกษาโดยทีมนักวิจัยนานาชาตินำโดย Anne-Marie Laslett จากมหาวิทยาลัย La Trobe ประเทศออสเตรเลีย
ประเด็นที่น่าสนใจจากงานวิจัยชิ้นนี้ นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้วผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ระบุว่า ทีมนักวิจัยนานาชาติได้สำรวจกลุ่มผู้ชาย ระหว่าง 18-49 ปี ที่แต่งงานแล้วหรือเคยคบหากับเพศหญิง 9,148 คน จาก 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ, กัมพูชา, จีน,อินโดนีเซีย, ปาปัวนิวกินี, ศรีลังกา และ ติมอร์เลสเต เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์ ทัศนคติต่อความเท่าเทียมทางเพศ
“ผลการศึกษาว่ามี 13% ที่กระทำความรุนแรงในคู่รักทั้งร่างกาย และทางเพศ อีกทั้งถ้าดื่มหนักหรือ 6 แก้วขึ้นไปต่อการดื่มในแต่ละครั้งจะเพิ่มโอกาสทำร้ายคู่ครองเพิ่มขึ้นทวีคูณ มาตรการในการปกป้องเพศหญิงจากการถูกคู่ครองทำร้ายจึงต้องมุ่งเป้าไปที่การลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลดทัศนคติชายเป็นใหญ่ของสังคมลง” นพ.อุดมศักดิ์ กล่าว
ถ้าถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับประเทศไทย หากลองพิจารณาให้ดีจะพบว่า 7 ประเทศที่นักวิจัยได้ทำการศึกษานั้น จะมีความคล้ายคลึงกับประเทศไทยอยู่ซึ่ง นพ.อุดมศักดิ์ ระบุว่า ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่มีการศึกษาเรื่องนี้โดยตรง แต่เคยมีการศึกษาในคนทั่วไป พบว่า 80% ได้รับผลกระทบจากคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ อาทิ ก่อความรำคาญ การกระทบกระทั่งกัน
เพราะฉะนั้นเราสามารถนำผลการศึกษานี้มาเป็นบทเรียนที่จำมาสู่การลดปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวไทยได้ ก็ต้องแก้ที่สาเหตุ 2 ประการ คือ “แอลกอฮอล์” ต้องทำให้คนเข้าถึงได้ยาก จากมาตรการ ทำให้ราคาสูง เพิ่มภาษี จำกัดการเข้าถึง เช่น การจัดช่วงเวลาและห้ามโฆษณา แน่นอนว่ากฎข้อบังคับเหล่านี้มีอยู่แล้ว สิ่งที่สำคัญคือการบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้อย่างเข้มข้น ประการต่อมาคือ“การปรับทัศนคติ”ต้องรณรงค์ให้เข้าใจถึงความเท่าเทียมกันของชาย-หญิงมากขึ้น
ขณะที่ นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ระบุว่าผลการศึกษาในต่างประเทศข้างต้นนั้น เทียบกันแล้วสถานการณ์ก็คล้ายกับสถานการณ์ในไทย เนื่องจากทัศนคติของชายเป็นใหญ่ มีอำนาจเหนือผู้หญิง เมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปแล้วยิ่งทำให้มีความกล้าที่จะทำในสิ่งต่างๆ ที่คนทั่วไปไม่ทำ เมื่อผู้หญิงห่วงใยตักเตือนก็จะทำให้โมโห โดยเฉพาะหากเตือนในวงเหล้าจะทำให้ผู้ชายรู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรี เป็นการท้าทายอำนาจ จึงนำมาสู่การใช้ความรุนแรง ฆ่ากันตายในบ้าน บาดเจ็บ พิการ
ทั้งนี้ การใช้ความรุนแรง เป็นปัญหาที่พบมานานในสังคมไทย จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ลดลง มีแต่เพิ่มขึ้น ราวๆ 5-10% อย่างในช่วงโควิด-19 ทางมูลนิธิฯ ได้รับรายงานความรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่า 20%
“เหล้าไม่ได้เป็นสาเหตุหลัก แต่เป็นปัจจัยกระตุ้นสัญลักษณ์ของความเป็นชาย หนุนทัศนคติชายเป็นใหญ่ ทำให้ปัญหาลุกลามบานปลาย และมากกว่าร้อยละ 10 ขึ้นไปในกรณีการทำร้ายกันในครอบครัวจะทำให้เกิดผลกระทบในระยะยาว คือทำให้ลูกซึมซับพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พฤติกรรมการใช้ความรุนแรงกลายเป็นปัญหาวงจรอุบาทว์ และปัญหาสังคมต่อไป” นายจะเด็จ กล่าว
เรื่องนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง และทำควบคู่กันไปทั้ง การรณรงค์ สนับสนุนให้มีการ “ลด ละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ร่วมกับการปรับทัศนคติชายเป็นใหญ่ กระทรวงศึกษาธิการต้องเร่งบรรจุเป็นหลักสูตรการเรียนการสอน เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ
ที่สำคัญ หากเกิดความรุนแรง ผู้หญิงที่เป็นเหยื่อต้องแจ้งความ หรือขอความช่วยเหลือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยุติความรุนแรงนั้น ไม่ว่าเป็นการแจ้งความ หรือการขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานช่วยเหลือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 รวมถึงเพื่อนบ้าน คนที่พบเหตุการณ์ต้องอย่านิ่งเฉยแล้วมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ทะเลาะกันเดี๋ยวก็ดีกัน ซึ่งเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงซ้ำ และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นฆ่ากันได้ ซึ่งพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวกำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้พบเห็นสามารถแจ้งความได้
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาเรื่องสุรา ของมึนเมากับการใช้ความรุนแรงในครอบครัวนั้น ไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ไม่ใช่ว่าแก้ไขไม่ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาและการทำงานต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมาทางมูลนิธิฯ พยายามทำเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้หลายวิธีการ เช่น การเข้าไปช่วยเหลือให้ผู้ชายลด ละ เลิกเหล้า และเลิกใช้ความรุนแรง บางรายต้องใช้จุดที่ผู้ชายมีความผูกพัน เช่น ความรักลูก หรือสร้างงาน จัดให้มีกิจกรรมที่สนใจ พบบางคนสามารถเลิกพฤติกรรมได้เร็วสุดคือ 6 เดือน บางรายใช้เวลาเป็นปี บางคนใช้เวลามากกว่านั้น
ทั้งนี้ สถานการณ์การใช้ความรุนแรงในครอบครัวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยมีสถิติผู้หญิงและเด็กถูกทำร้ายเฉลี่ย 5 คนต่อวัน และยังพบด้วยว่า ผู้ที่พบเห็นเหตุความรุนแรง เลือกที่จะนิ่งเฉยไม่เข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งจากสถิติปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรีและครอบครัว ที่มูลนิธิฯสำรวจ พบว่า สถิติข่าวความรุนแรงในครอบครัวจากหน้าหนังสือพิมพ์ 11 ฉบับ ช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค.ปี 2561 พบว่า เกิดข่าวความรุนแรงในครอบครัวสูงถึง 367 ข่าว เป็นข่าวฆ่ากันตาย 242 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 65.9 รองลงมา เป็นข่าวทำร้ายร่างกาย 84 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 22.9 และข่าวฆ่าตัวตาย 41 ข่าว คิดเป็นร้อยละ 11.2
และเมื่อเปรียบเทียบข่าวฆ่ากันตายย้อนหลัง 3 ปี จะเห็นว่าปี 2561 สถิติสูงสุดกว่าทุกปี โดยปี 2555 มีข่าวร้อยละ59.1 ปี 2557 มีข่าวร้อยละ 62.5 และ ปี 2559 มีข่าวร้อยละ 48.5 และยังพบด้วยว่าร้อยละ 94.9 ของผู้ที่พบเห็นเหตุความรุนแรงเลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่เข้าไปช่วยเหลือ
ขณะที่สถิติการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ระหว่างปี 2560-2563 โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พบว่า ภาพรวมทั่วประเทศ มีการใช้ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2563 มีผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวจำนวน 1,865 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีจำนวน 1,309 ราย และผู้ถูกกระทำเป็นเพศหญิงสูงถึง ร้อยละ 84
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า 1.ผู้กระทำความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ซึ่งยังมีวิธีคิดและทัศนคติแบบชายเป็นใหญ่ แสดงออกผ่านพฤติกรรมความหึงหวง บันดาลโทสะ 2.การผลิตซ้ำวาทกรรม “ชายเป็นใหญ่” ทั้งปรากฏอย่างชัดเจนและแฝงเร้น เช่น เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องลิ้นกับฟัน อย่าแกว่งเท้าหาเสี้ยน เมื่อเขาดีกันเราก็กลายเป็นหมา เป็นต้น ส่งผลให้คนในสังคมไม่อยากเข้าไปช่วยเหลือ และไม่กล้าเข้าไปแก้ปัญหา ทำให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 4 กำหนดให้ผู้กระทำผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานทำร้ายร่างกาย
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฎหมายออกมากำกับ ควบคุม ป้องปรามเพื่อไม่ให้มีการกระทำรุนแรงในครอบครัว แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ปัญหานี้ไม่เกิดขึ้น นั่นก็คือสามัญสำนึกของความเป็นชาย ศักดิ์ศรีของความเป็นผู้นำครอบครัว ที่จะต้องรักและเอาใจใส่ ปกป้องสมาชิกในครอบครัว ไม่ให้ได้รับอันตรายทางร่างกาย และผลกระทบต่อจิตใจ
เพราะนี่คือหน้าที่ของลูกผู้ชายที่จะต้องทำให้ครอบครัวมีความสุข
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี