เมื่อบ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤติ ไม่ว่าจะด้วยสงครามจากภายนอก สงครามจากภายใน สงครามโควิด หรือสงครามเศรษฐกิจสู้กับความยากจน
หรือบ้านเมืองประสบปัญหามานานถึง 89 ปี จากระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งทำให้เกิดธุรกิจการเมือง เกิดการคอร์รัปชั่นทุกระดับ เกิดความทุจริตต่างๆ
ทุกคนก็ต้องช่วยกันคิดหาทางออก หาทางแก้ไข และถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน
เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2516 มีการรวมตัวของเหล่านิสิต นักศึกษา และประชาชน เดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลทหารลาออก และจัดการเลือกตั้งใหม่
การเดินขบวนในครั้งนั้น ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่เกินจะควบคุมได้ มีการเผาสถานที่ราชการหลายแห่ง และการสลายการชุมนุม ก็ทำให้ประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก เหตุการณ์บานปลายจนเกือบจะเป็นสงครามกลางเมือง
จากความรุนแรงดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในขณะนั้น ทรงห่วงใย ต่อสถานการณ์เป็นอย่างมาก จึงแนะนำรัฐบาลให้ออกจากตำแหน่ง เพื่อความสงบของบ้านเมือง
เมื่อนายกรัฐมนตรีลาออกตามคำแนะนำของพระมหากษัตริย์และเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว ก็เกิดสุญญากาศในอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2515 ถูกยกเลิกไป จึงไม่มีผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ (สส.) และอำนาจบริหาร (คณะรัฐมนตรี) แทนปวงชนชาวไทยเจ้าของอำนาจ
ตามระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่เมื่อ มีวิกฤติทางการเมืองเกิดขึ้น ในฐานะพระองค์ทรงเป็นประมุขของประเทศ พระองค์ก็จำต้องใช้พระอัจฉริยภาพแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
สำหรับอำนาจบริหาร พระองค์ทรงแต่งตั้ง ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานศาลฎีกา ผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างประจักษ์ชัด ให้เป็นหัวหน้าของฝ่ายบริหาร (หรือนายกรัฐมนตรี) ในช่วงวิกฤติดังกล่าว
อำนาจตุลาการ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะเป็นสถาบันที่มั่นคง ผู้ใช้อำนาจตุลาการแทนปวงชนชาวไทย ผ่านการศึกษา การสอบแข่งขัน การอบรม การคัดกรองมาอย่างดีแล้ว และเป็นข้าราชการประจำจึงสามารถปฎิบัติหน้าที่ต่อไปได้ โดยไม่หยุดชะงัก
แต่อำนาจนิติบัญญัติ อันเป็นอำนาจที่สำคัญที่สุดของอำนาจอธิปไตยทั้งสามในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งต้องให้ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งเองและเป็นชนวนการเรียกร้องประชาธิปไตย ของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อเกิดสุญญากาศขึ้นมาในประเทศ ไม่มีสถาบันใดมาอนุมัติงบประมาณของฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ และการพัฒนาประเทศ ไม่มีใครมาตรวจสอบควบคุมการบริหารงาน ของอำนาจอื่น และยังจะต้องร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่แทนฉบับปี พ.ศ.2515 อีกด้วย จึงเป็นปัญหาว่าเราจะได้ใครมาเติมเต็มช่องว่างนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้
ด้วยพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ (ร.9) และทรงพระปรีชาสามารถ พระองค์ได้ทรงคิดค้นองค์กรเลือกตั้ง (Electoral Body) ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับ Electoral Vote ของสหรัฐ ขึ้นมาใหม่ แก้ปัญหาบ้านเมืองได้รวดเร็วฉับพลัน ด้วยมีผู้รับสนองความคิดที่มีคุณภาพ เช่น ราชเลขาธิการ (ม.ล.ทวีสันต์ ลดาวัลย์) และเลขาธิการพระราชวัง (ดร.กัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา) จึงสามารถสรรหาบุคคลที่เป็นคนดีมีคุณธรรม มีความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริต ได้ 2,347 คน มาเป็นองค์กรเลือกตั้ง (Electoral Body) เพื่อเลือกตั้งกันเอง ให้เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนปวงชนชาวไทยซึ่งกำลังตกอยู่ในวิกฤติการเมือง
ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2516 จึงทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งสมัชชาแห่งชาติ (ซึ่งเรียกกันภาษาชาวบ้านว่า “สภาสนามม้า”)ขึ้น เพื่อเลือกตั้งกันเองให้เหลือ 299 คน มาทำหน้าที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป
ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งของสภาสนามม้า (หรือ สมัชชาแห่งชาติ) ได้มีพระบรมราชโองการ เรียกประชุมสมัชชาแห่งชาติในวันที่ 13 ธันวาคม 2516 และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานและรองประธานสมัชชาแห่งชาติในวันรุ่งขึ้น(14 ธันวาคม 2516) ดังนี้
1.พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (พระนามเดิม ม.จ.วรรณไวทยากร วรวรรณ) เป็นประธานที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติ
2.พระยามานวราชเสวี เป็นรองประธานที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติคนที่ 1
3.นายสุกิจ นิมมานเหมินทร์ เป็นรองประธานที่ประชุมสมัชชาแห่งชาติคนที่ 2
เมื่อผลการเลือกตั้งสมาชิกสมัชชาแห่งชาติจำนวน 299 คน ให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2516
หลังจากนั้น ได้มีการประชุมเลือกประธานและรองประธาน ได้ดังนี้
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นประธานสภานิติบัญญัติ
พลเอกสำราญ แพทยกุล เป็นรองประธานสภานิติบัญญัติ คนที่ 1
นายประภาศน์ อวยชัย เป็นรองประธานสภานิติบัญญัติ คนที่ 2
_____________________________________________
พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ในขณะนั้นสร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า เป็นครั้งแรกของโลกที่มีองค์กรเลือกตั้ง (Electoral Body) เป็นผู้เลือกตั้งผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติภายในเวลาอันรวดเร็วและสภานิติบัญญัติชุดนี้ซึ่งทำงานเพียง 1 ปี 5 เดือน (จากวันที่ 23 ธันวาคม 2516 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2518) นับได้ว่าเป็นสภานิติบัญญัติที่ดีที่สุดสภาหนึ่งเท่าที่ประเทศไทยมีมา และสุดท้ายก็ร่างรัฐธรรมนูญได้แล้วเสร็จ นำการปกครองระบอบประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศไทยอีกครั้ง
_____________________________________________
ข้อน่าสังเกตว่า คงจะต้องมีหลักเกณฑ์ (Criteria) และการกำหนดคุณสมบัติ (Qualification) ไว้อย่างดี จึงได้คนที่มีความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรมมาถึง 2,347 คน และท่านเหล่านี้ก็ได้เลือกบุคคล ที่ท่านเห็นว่าดีที่สุด 299 คน มาเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติเพื่อใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนปวงชนชาวไทย
จะพิสูจน์ได้จาก สมาชิกทั้ง 299 ท่านนี้ เมื่อหมดภารกิจจากการเป็นสภาสนามม้าและสภานิติบัญญัติ ระหว่างปี 2517-2518 แล้ว คุณธรรม ความดี ความสามารถ (Integrity) ของท่าน ได้นำท่านไปสู่ ที่ใด
1.เป็นองคมนตรี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จำนวน 4 คน ได้แก่
1.1 นายธานินทร์ กรัยวิเชียร 1.3 พลอากาศตรีสิทธิ เศวตศิลา
1.2 ดร.เชาวน์ ณ ศีลวันต์ 1.4 พลอากาศตรีกำธน สินธวานนท์
2.เป็นนายกรัฐมนตรี หรือ ประธานรัฐสภา หรือ หัวหน้าคณะรัฐประหาร
2.1 หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช 2.5 นายกองใหญ่สมัคร สุนทรเวช
2.2 นายธานินทร์ กรัยวิเชียร 2.6 ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน
2.3 พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ 2.7 พลเรือเอกสงัด ชลออยู่
2.4 นายกองใหญ่บรรหาร ศิลปอาชา
3.เป็นรองนายกรัฐมนตรี หรือ หัวหน้าพรรคการเมือง
3.1 ศ.นายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ 3.5 พันเอก(พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์
3.2 นายพิชัย รัตตกุล 3.6 พลตรีเทียนชัย ศิริสัมพันธ์
3.3 พลตำรวจตรีเภา สารสิน 3.7 นายอำนวย วีรวรรณ
3.4 พลตรีศิริ สิริโยธิน
4.เป็นรัฐมนตรี หรือ สส.
4.1 ศ.ดร.ก่อ สวัสดิ์พาณิชย์ รมว.ศึกษา 4.18 ร้อยตรีเจริญ คันธวงศ์ รมว.ศึกษา
4.2 นายเกษม จาติกวณิช รมว.อุตสาหกรรม 4.19 พลเอกเล็ก แนวมาลี รมว.กลาโหม
4.3 นายเกษม ศิริสัมพันธ์ รมว.ศึกษา 4.20 คุณหญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ รมว.คมนาคม
4.4 ดร.เกษม สุวรรณกุล รมว.ทบวง 4.21 คุณเถลิง ธำรงนาวาสวัสดิ์ รมช.เกษตร
4.5 ศ.คนึง ฦาไชย รมว.มหาดไทย 4.22 นายทวิช กลิ่นประทุม รมว.คมนาคม
4.6 พล.ต.ท.จำรัส มังคลารัตน์ รมว.ยุติธรรม 4.23 นายทวี แรงขำ รมว.มหาดไทย
4.7 นายนิพนธ์ ศศิธร รมว.ศึกษา 4.24 นายวิจารณ์ นิวาตวงศ์ รมว.พาณิชย์
4.8 นายบดี จุณณานนท์ รมว.คลัง 4.25 นายศรีภูมิ ศุขเนตร รมช.คมนาคม
4.9 นายบุญชนะ อัตถากร รมว.หลายกระทรวง 4.26 นายสนั่น เกตุทัต รมช.คลัง
4.10 นายบุญชู โรจนเสถียร รมว.คลัง 4.27 นายสมหมาย ฮุนตระกูล รมว.คลัง
4.11 นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ รมว.ยุติธรรม 4.28 นายบุญยิ่ง นันทาภิวัฒน์ รมว.สำนักนายก
4.12 นายประสงค์ สุขุม รมช.คมนาคม 4.29 นายประกายเพชร อินทุโสภณ รมว.อุตสาหกรรม
4.13 นายปรีดา กรรณสูต รมว.เกษตรฯ 4.30 นายประเทือง กีรติบุตร รมว.มหาดไทย
4.14 นายพนัส สิมะเสถียร รมว.คลัง 4.31 นายอาษา เมฆสวรรค์ รมช.มหาดไทย
4.15 นายไพจิตร เอื้อทวีกุล รมช.คลัง 4.32 นายอวย เกตุสิงห์ รมช.สาธารณสุข
4.16 พระมนูเวทย์วิมลนาท ประธานศาลฎีกา 4.33 ศ.อินทรี จันทรสถิตย์ รมว.เกษตร
4.17 นายมาลัย หุวะนันทน์ รมช.มหาดไทย 4.34 นายเอนก สิทธิประศาสน์ รมช.มหาดไทย
5.เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ระดับอธิบดีและปลัดกระทรวง อีกจำนวนมาก อาทิ
กฤช สมบัติศิริ เลขาฯ สศช., กำจร สถิรกุล ผู้ว่าแบงก์ชาติ, กำจัด กีพานิชปชส., ประวีณ ณ นคร เลขาฯ ก.พ., ปิยะ จักกะพาก สมช., พล.ต.ท.พจน์ เภกะนันทน์อ.ตร., พิศาล มูลศาสตร์สาทร ปลัด มท., ไพโรจน์ ชัยนาม ปลัด กต., ไพโรจน์ สุวรรณกร อ.ป่าไม้, เจริญ เจริญรัชต์ภาคย์ ปลัด คค., ฉลอง กัลยาณมิตร มท., เฉก ธนะศิริ กทม., พลโทเฉลิมชัย จารุวัสตร์ ททท., เฉลิมชัย วสีนนท์ ศาลปกครอง., เฉลียว วัชรพุกก์ ทล., ชลอ ธรรมศิริ มท., ชลอ วนะภูติ มท.,ชูวงศ์ ฉายะบุตร มท., ชำนาญ พจนา มท., พลโทเชวง ยังเจริญ ผอ.วปอ., โชดก วีรธรรม พูลสวัสดิ์ มท., ยุวรัตน์ กมลเวชช์ มท., เรณู สุวรรณสิทธิ์ ผอ.สงป., ศิววงศ์ จังคศิริ ปลัด อก., สง่า สรรพศรี ศษ., อมร จันทรสมบูรณ์ เลขา คกก.
6.เป็นนักธุรกิจ ประชากิจ อาจารย์ สส. นักการเมือง ผู้มีชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ อีกเป็นจำนวนมาก อาทิ
กมล สมวิเชียร, กระมล ทองธรรมชาติ, กิติรัตน์ ศรีวิสารวาจา, เขียน ธีระวิทย์,จรัส เทือกสุบรรณ, จรินทร์ กาญจโนมัย, จรูญ สุภาพ, คุณหญิงจันทนี สันตะบุตร,จำเริญ วัฒนายากร, ประมวล กุลมาตย์, ประสิทธิ์ ชูพินิจ, ปราโมทย์ นาครทรรพ,ปรีดี เกษมทรัพย์, ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์, ปิยะ จักกะพาก, พัทยา สายหู, พิมล จิตต์หมั่น, คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร, จิตติ ติงศภัทิย์, จุมพล สวัสดิยากร, เจริญ สุวรรณมงคล, ชนะ รุ่งแสง, คุณหญิง (ต่อมาเป็นท่านผู้หญิง)ชนัตถ์ ปิยะอุย,เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่, เต็มศิริ บุณยสิงห์, แมนรัตน์ ศรีกรานนท์, คุณหญิงแร่มพรหมโมบล บุณยประสพ, วิชา เศรษฐบุตร, วิลาศ มณีวัต, ศักดา สายบัว, ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์, แถมสิน รัตนพันธุ์, ทวี เจริญพิทักษ์, ทวี แรงขำ, ทองคำจารุเหติ, นิคม จันทรวิทูร, นิธิพัฒน์ ชาลีจันทร์, นิสสัย เวชชาชีวะ, บัญชา ล่ำซำ,บุญถม เย็นมะโนช, บุญยงค์ ว่องวาณิชย์, คุณหญิงสุภาพ ยศสุนทร, สุรินทร์เทพกาญจนา, สุรินทร์ มาศดิตถ์, เสน่ห์ จามริก, เสริมศรี เอกชัย, แสวง ทัดเที่ยง,ประจวบ ทองอุไร, ประจวบ ภิรมย์ภักดี, ประชุม โฉมฉาย, ประทีป เสียงหวาน, ประธาน ดวงรัตน์, ใหญ่ ศวิตชาติ, อดุล วิเชียรเจริญ, อมร จันทรสมบูรณ์ และอีกมากมายหลายรายชื่อ ซึ่งต้องขออภัยท่านที่มิได้เอ่ยนามมาเพราะเนื้อที่จำกัด และขออภัยหากจะมีความผิดพลาดในทั้ง 5 ข้อบ้าง
ท่านที่ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติ จำนวน 2,347 คน และได้รับการเลือกตั้งจากสมัชชาแห่งชาติ จำนวน 299 คน จำนวนมากได้จากพวกเราไปแล้ว เพราะได้รับใช้ชาติในยามวิกฤติมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2516 หรือเป็นเวลา 48 ปีมาแล้ว
แต่ที่คนในยุคปัจจุบันควรนำมาคิดก็คือว่า การเสนอชื่อ การสรรหา และการกลั่นกรอง มีหลักเกณฑ์ (Criteria) และการกำหนดคุณสมบัติ (Qualification) ไว้อย่างไร จึงสามารถกลั่นกรองและคัดเลือก ได้แต่คนดี ๆ ที่มีความรู้ความสามารถ (Integrity) มาทำหน้าที่ในยามวิกฤติได้
บุคคลเช่นนี้ ในปัจจุบันก็ยังมีอีกมากมายและเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงไม่แพ้คนรุ่นเก่าสมัยปี พ.ศ.2516 แต่เขาไม่อยากมายุ่งกับการเมืองน้ำเน่าและธุรกิจการเมือง ที่ทุกอย่างต้องหาเงินโดยมิชอบ มาเล่นการเมืองให้สกปรกตัว
เราน่าจะมีวิธีกำหนดหลักเกณฑ์ และกำหนดคุณสมบัติ โดยศึกษาจากประสบการณ์และพระอัจฉริยภาพของพระบิดาของเราบ้าง เพื่อมาสรรหาสมัชชานักบริหารระดับสูงแห่งชาติสักจำนวนหนึ่ง เพื่อมาคัดเลือกผู้มาใช้อำนาจบริหาร (Executive Power) แทนปวงชนชาวไทย ให้หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ (Vicious Circle) ระหว่างการเลือกตั้งของธุรกิจการเมือง และการปฏิวัติรัฐประหาร กันเสียที
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี