ปัญหาของประเทศไทย คือมะเร็งการเมืองที่เกาะกินประเทศมา 89 ปีแล้วเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 ก็เพื่อต้องการให้ประชาชนคนไทยทุกคนได้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งแปลตรงๆ ได้ว่า “อำนาจสูงสุด”
เราก็เลยไปเอาระบอบประชาธิปไตยซึ่งแปลว่า “อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน” มาใช้กัน แต่ยังขอให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุขอยู่
แล้วประชาชนได้อำนาจมาจริงหรือไม่ แน่นอน ทุกคนจะใช้อำนาจเป็นอิสระเอกเทศไม่ได้ คงจะเกิดกลียุคในระบอบอนาธิปไตย (Anarchism) แน่ ประชาชนจึงต้องหาวิธีเลือกผู้แทนของตนเข้าไปใช้อำนาจทั้งสาม อันได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ และอำนาจบริหาร
แล้วผู้ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 89 ปีมาแล้ว ก็ไปเอาระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) มาใช้โดย
ให้ประชาชน เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาทำหน้าที่นิติบัญญัติ
ให้ประชาชน ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ผ่านการอบรม คัดกรองมาอย่างครบถ้วน มาทำหน้าที่ ของอำนาจตุลาการ
แล้วก็ให้ สส.เอง มาเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารเสียอีกอำนาจหนึ่ง
_________________________________
เท่ากับยัดเยียดปลาทอดกับเฟรนช์ฟรายส์ (Fish and Chip) หรือ พายสเต็กกับเซ่งจี๊ (Steak and Kidney Pie)ให้คนไทยทานกัน
ทั้งๆ คนไทยเรามีวัฒนธรรมทานน้ำพริกปลาทู แจ่วบองน้ำพริกหนุ่ม และข้าวยำคลุกน้ำบูดูกันอยู่
ก็เลยเกิดปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย กรดไหลย้อนอยู่ในร่างกายมา 89 ปีแล้ว ในร่างกายของประเทศไทย
อันได้แก่ การลงทุนซื้อเสียงในการเลือกตั้ง สส., การลงทุนซื้อ สส.เข้ามาในมุ้งของเจ้าพ่อ แล้วเจ้าพ่อก็เข้าไปเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารของปวงชนชาวไทย (Executive Power) ก็จำต้องส่งเสริมการทุจริตธุรกิจผิดกฎหมายและคอร์รัปชั่นเสียเองบ้าง ใช้ข้าราชการประจำและข้าราชการเมืองเป็นเครื่องมือบ้าง หาเงินเข้าพรรคบ้าง เข้าบ้านตัวเองบ้าง แจกลูกน้องในมุ้งของตัวเองบ้าง หรือหัวคะแนนบ้าง
เหล่านี้ ถือเป็นมะเร็งร้ายแรงที่เกาะกินประเทศไทยมาช้านาน จนทุกรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพและความยั่งยืน (ส่วนนักการเมืองอีกกลุ่มที่เป็นฝ่ายค้าน ก็ต้องหาทางโค่นล้มรัฐบาลทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะสงครามโควิด-19 หรือสงครามเย็นก็ตาม) ที่จะพัฒนาประเทศได้ และประเทศเราก็ยังมีคนรวยเป็นกระจุกและมีคนจนกระจายอยู่มากมาย จนความแตกต่างเป็นอันดับสองของโลก
ปัญหาเหล่านี้ ทุกๆ คนก็รู้และทราบ แต่ยังมิได้มีการแก้ไข น่าจะเป็นเพราะเรายังนิยมนับถือ แมลงผึ้ง มากกว่าแมลงวันอยู่
ผึ้ง (หรือ Honey Bee) จัดเป็นแมลงสังคม (Social Insect) มีวิวัฒนาการสูง อยู่ในอันดับ Order Hymenoptera แต่ละตัวมี 4 ปีก มีการจัดแบ่งหน้าที่การงานเป็น ผึ้งราชินี (Queen Bee),ผึ้งงาน (Worker Bee) และผึ้งทหาร (Soldier Bee) มีปัญญาระดับสูง
ส่วนแมลงวันบ้าน (Home Fly) เป็นสัตว์ชั้นต่ำกว่าในเชิงสติปัญญา มีเพียงสองปีก จัดอยู่ในอันดับ Order Diptera พฤติกรรมไม่ฉลาดเท่าแมลงผึ้ง
_________________________________
ถ้าหากท่านจับผึ้ง 6 ตัวใส่ขวด และจับแมลงวัน 6 ตัวใส่ขวดเช่นกัน
จากนั้นวางขวดลง หันก้นขวดไปทางหน้าต่างที่มีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามา
เปิดปากขวดทั้ง 2 ใบไว้
สักครู่ท่านจะพบว่า ผึ้งในขวดจะตายหมดเพราะพยายามจะบินออกทางก้นขวดอย่างเดียว เพราะมีแสงอาทิตย์พุ่งมาจากทางนั้น
ส่วนแมลงวันนั้น เป็นสัตว์ที่ฉลาดน้อยกว่า ไม่ได้ยึดมั่นอยู่กับความคิดว่า แสงมาจากทางทิศใดจะต้องพยายามออกทางทิศนั้น แมลงวันจึงสามารถบินมาทางปากขวดที่เปิดไว้ ตรงข้ามกับด้านที่แสงอาทิตย์ฉายเข้ามา
_________________________________
นักร่างรัฐธรรมนูญซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักนิติบัญญัติ (หรือนักกฎหมายมหาชนทั้งหลาย) ก็น่าจะเป็นเสมือนแมลงผึ้ง มีสติปัญญาหลักแหลม จบฮาร์วาร์ดบ้าง แอล.เอส.อี.บ้าง ออกซฟอร์ดบ้าง ก็คงจะยึดถือการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) เป็นหลัก ดังที่ได้ร่ำเรียนมาจากสถาบันต่าง ๆ และใช้ได้เป็นอย่างดีในสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น ก็คงจะต้องยืนยันกระต่ายขาเดียว ว่าเป็นแบบที่เหมาะสมกับประเทศไทยที่สุดดูสิที่อังกฤษและญี่ปุ่น (ซึ่งเป็นประเทศที่มีระเบียบวินัย จิตสาธารณะ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน) ก็ยังใช้ได้ เราก็ควรจะยืนหยัดใช้ต่อไปอีก 200-300 ปี จนกว่าประชาชน สส. นักการเมือง จะซาบซึ้งในประชาธิปไตยแบบนี้ (หรือประเทศไทยตกอยู่ในอันดับโหล่สุดของอาเซียนไปก่อน)
แทนที่จะหาทางออก หาทางแก้ปัญหา “ธุรกิจการเมือง” และ “การสืบทอดอำนาจของ ผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง” อันเป็นมะเร็งที่เกาะกินประเทศมานาน
_________________________________
ประเทศเราไม่มีแมลงวันเลยหรือ
ท่าน สว. ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชนและกฎหมายรัฐธรรมนูญและท่าน สส. อีกจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
ท่านก็มีบทบาทในการเขียน ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ในปัจจุบัน
ท่านไม่คิดนอกกรอบบ้างหรือ
_________________________________
ถูกต้องที่ว่า เราจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ
เพราะรากเหง้าและพื้นฐานประวัติศาสตร์ของเรา มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่แล้ว
_________________________________
แต่เราสามารถจัดให้มีตัวแทนประชาชนเข้าไปใช้อำนาจบริหาร (Executive Power) แทนปวงชนชาวไทยได้ โดยการกลั่นกรอง คัดเลือก และเลือกผู้ที่มีประสบการณ์และความสำเร็จที่เห็นได้ชัดในการบริหารกิจการใหญ่ ๆ เป็นที่ประจักษ์ ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียในคดีอาญา คดีทางสังคมต่าง ๆ มีคุณธรรม มีจิตสาธารณะเป็นที่ประจักษ์ มารวมตัวกันเป็น “สมัชชาแห่งชาติ” เหมือนกับเมื่อปี พ.ศ.2516 แล้วกลั่นกรอง คัดเลือก ผู้ที่ดีที่สุดและอาสาสมัครเข้ารับใช้ประชาชนคนไทย เป็นหัวหน้าผู้ใช้อำนาจบริหาร (Chief of the Executive Power)
คนไทยจำนวนมากยอมรับว่า มีคนดี มีความสามารถมีคุณธรรมอีกมากมายที่ไม่ยอมลงมารับใช้บ้านเมือง โดยผ่านการเลือกตั้งแบบการเมืองน้ำเน่าเช่นที่เป็นมาแล้ว 89 ปี วิธีที่เสด็จพ่อสรรหาคนมาเป็นสมัชชาแห่งชาติ (สภาสนามม้า) เมื่อปี พ.ศ.2516 จึงน่าจะเป็นวิธีที่ได้คนดีเหล่านี้มาบริหารบ้านเมือง แทนที่นักธุรกิจการเมืองและนักปฏิวัติรัฐประหารที่สลับกันเข้ามาจนการเมืองเป็นของที่น่ารังเกียจ ไปแล้ว
_________________________________
เมื่อรองเท้าเราพัง เราจะสั่งให้คนในบ้านซ่อมหรือเย็บให้หรือ
เราต้องส่งให้ช่างซ่อมรองเท้า เราจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีและสะดวกรวดเร็วมากกว่า
เมื่อเราจะเดินเรือที่มีผู้โดยสารหลายพันคนข้ามมหาสมุทรที่มีพายุแรง เราจะเลือกกะลาสี หรือลูกเรือมาเป็นกัปตันหรือ เราก็ต้องเลือกผู้มีประสบการณ์มากที่สุดในการเดินเรือ มาเป็นกัปตันเรือ
แล้วเมื่อเราต้องการนักบริหารบ้านเมืองที่มีความรู้ ความสามารถ เป็นคนดี มีคุณธรรม มีความเป็นผู้นำมาบริหารประเทศให้เกิดความสุขและความอยู่ดีกินดีของคนไทยทุกคน ทำไมเราไม่คิด หาวิธีเลือกสรรคนดีๆ มาบริหารบ้านเมือง
_________________________________
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2562 ได้มีประกาศสำนักพระราชวัง ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ เลขาธิการพระราชวัง อัญเชิญพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ได้พระราชทานไว้ในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 6 ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรีวันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2512 ความตอนหนึ่งว่า
“ขอให้ทราบถึงสิ่งสำคัญในการปกครองไว้ว่าในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมดการทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
ทั้งนี้ ทรงมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนในชาติ ตลอดจนข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทั้งข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความมั่นคงของประเทศชาติ และบำบัดทุกข์สุขบำรุงสุขให้กับประชาชน ได้ทบทวนและตระหนักถึงพระบรมราโชวาทที่ได้พระราชทานไว้ ด้วยทรงมีความห่วงใยในความมั่นคงของประเทศชาติ
ความรู้สึกและความสุขของประชาชน จึงได้พระราชทาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ และเป็นการเตือนสติ ให้น้อมนำมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อความสมัครสมานสามัคคี ความมั่นคงของชาติบ้านเมืองและความสุขของประชาชน เป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ทรงรักและทรงห่วงใยในชาติบ้านเมือง และประชาชนตลอดมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี