พระราชสุเมธี หรือ หลวงปู่เหลี่ยม สุจิณฺโณ เจ้าอาวาสวัดภูตูมวนาราม อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย เมตตาเป็นองค์แสดงธรรม ที่ศาลาหลวงพ่อทรงธรรม วัดอโศการาม ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ โดย “แนวหน้า ออนไลน์” นำเนื้อหาบางส่วนมาถอดเทปเพื่อเป็นธรรมทานดังต่อไปนี้
"...หลวงปู่เสาร์เคยถือประพฤติปฏิบัติตลอดจนชนม์ชีพของท่าน ท่านจะถือด้วยการสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วก็พิจารณาพุทธคุณของพระพุทธเจ้า 9 ประการนั้น พิจารณาพระธรรม คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ ตรงนี้ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อแต่นั้นก็จะแผ่เมตตาให้กับตัวเอง อะหัง สุขิโตโหมิ แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ ที่เราได้สวด ได้แผ่กันอยู่นี้ และ ครั้งต่อมา ให้พิจารณาสังขาร ร่างกายนี้ เป็นของปฏิกูลของสกปรก ของน่าเกลียด
ของปฏิกูลอย่างไร อาหารที่อยู่ในท้อง ถ้ามันถ่ายออกไปเป็นอุจจาระ เป็นปัสสาวะ แล้วเราหมักหมม รวมกันไว้ มันก็กลายเป็นของปฏิกูล ของไม่สะอาด ทีนี้ร่างกายของเรา ถ้าไม่อาบน้ำ 3 วัน 7 วัน เหงื่อไคลไหลย้อย ขะมุกขมัวไปด้วยฝุ่นละออง ก็จะเกิดกลิ่น เกิดเหม็นหืนออกมาจากตัวเรา เหนอะหนะเหนียว ให้ร่างกายของเราไม่สดชื่น ต้องอาบน้ำชำระ อาบน้ำเฉยๆเหมือนประหนึ่งว่าไม่ออก ก็ต้องฟอกด้วยสบู่ ด้วยของเหลว ที่มันทำให้ลื่น มันจึงจะสบาย แล้วทีนี้เป็นของน่าเกลียด
เมื่อตายไปไม่มีอะไร มีแต่ร่างกาย ร่างกายขึ้นอืดขึ้นพอง น้ำเหลืองไหลย้อย ไหลย้อยออกมา ก็จะทำให้เรานั้น สะอิดสะเอียนขึ้น ดูแต่ซากศพของสุนัขที่โดนรถทับข้างถนน มันก็จะเหม็นออกมา นี่คือพิจารณาอสุภะ แล้วก็พิจารณาความตายอยู่เสมอ เราไม่ตายวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็ไม่แน่ ไม่ตายในวันพรุ่งนี้ วันต่อไป เราแน่หรือ เรามองเห็นหรือ เราอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เพราะความไม่ประมาท เมื่อเราประมาทเมื่อใด เราก็จะเข้าถึงจุดจบ อันนี้ให้พิจารณา หลวงปู่เสาร์ฯ ท่านพิจารณาอย่างนี้มาตลอด ที่เป็นบูรพาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่นนั่งภาวนาจนจิตเข้าไปถึงปฐมฌาน จนถึงขั้น จตุตถฌาน ถอยออกมา ถอยออกมาจนกระทั่ง ปฐมฌาน คือ อุปจาระสมาธิ แล้วก็มาพิจารณาสังขาร ร่างกายให้เห็นตามเป็นจริง นี่มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อันดับแรก เราก็จะต้องฝึกสติของเรา แล้วก็ฝึกวิริยะของเรา ด้วยการนับ อันนี้ทำให้บุคคลทั้งหลายที่นั่งกระสับกระส่าย นั่งไม่ปกติ ได้นั่งเพลินทีเดียว เพลินอยู่ในธรรม เรียกว่า ฌานนทีฌาน
ฌาน คือ เพ่ง เพ่งอยู่ ณ อารมณ์เดียว เพ่งลงไปที่ตัวรู้ มันเพ่งลงไปแล้วเกิดพลัง พลังรวมลงไปทำให้จิตของเรานั้นหนักแน่น บางคนก็ประหนึ่งตึงอยู่ทั้งตัว หลังจากพลังรวมลง เกิดปีติ จิตเปิด เบิกบาน เหมือนกายเบา ใจเบา ต่อแต่นั้นความสุขเกิดขึ้น เมื่อความสุขเกิดขึ้น ความนิ่งของจิตลงไปแพ๊พหนึ่ง แล้วก็โผล่ออกมา มันไม่นิ่ง เมื่อมันไม่นิ่ง ก็จะต้องเพ่ง การเพ่งนี่เรียกว่า ฌาน หรือ การเพ่ง เมื่อเพ่งลงไป กำลังก็จะแรงลงไป ทำให้ความสงบนิ่งลงไป แต่ความสงบมันไม่นิ่ง มันไม่รวมลง ก็แสดงว่าพลังอ่อน ก็กลับมาเริ่มต้นบริกรรมใหม่ กำหนดลมหายใจเข้า กำหนดลมหายใจออกอย่างนี้ ฝึกอยู่อย่างนี้แหละ ตลอดไป แล้วบารมีธรรม และ ภาวะธรรม แล้วคุณธรรมก็จะปรากฎ
ญาณ คือ ความรู้ ปรากฏ เมื่อเราตื่นตัวอยู่เสมอ ตัวตื่นตัวนั่นแหละ เรียกว่า ปัญญา คือ สัมปชัญญะ ความรู้ตัวเกิดขึ้น มันก็จะพัฒนาเป็นปัญญา แล้วทีนี้เมื่อเรานำหลักธรรมะที่ปัจจุบันนี้ เราจะใช้กัน เป็นระบบ คือ ใช้ “โพธิปักขิยธรรม” ธรรมที่ทำให้เกิดความสำเร็จ เรามีสติก็เป็นึตัวหนึ่งแล้ว มันอยู่ในหลายหัวข้อธรรมทีเดียว ปรากฏขึ้นแก่เรา กลายเป็น “สติปัฏฐาน” ต่อมาเมื่อมาสู่โพชฌงค์ก็เป็น “สติสัมโพชฌงค์” เป็นสติที่มั่นคง ตั้งมั่น มั่นคง คงที่ จึงเรียกว่า สติสัมโพชฌงค์ สติตั้งมั่น ก็เป็น “สติปัฎฐาน” ทีนี้ “สติปัฏฐาน4” เป็นหนทางเอกที่จะดำเนินไปสู่ความดับทุกข์ เมื่อเรามาพิจารณาสังขารร่างกาย เรียกว่า “กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน” ก็จะทำให้เรารู้ทุกสกลกายของเรา..."
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี