ระยะสองเดือนที่แล้ว เราก็ได้เทียบเคียงให้เห็นว่า ไทยกับอิสราเอล ใครจะพ่ายศึกก่อนกัน อิสราเอลต้องต่อกรอย่างดุเดือดกับศึกภายนอก ได้แก่ ปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา แล้วก็ยังรบศึกภายในระหว่างพรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน ในที่สุดฝ่ายค้านก็ชนะศึกภายในประเทศไป ได้เป็นรัฐบาลแทน
ไทยเราก็มีระบบการปกครองเฉกเช่นอิสราเอล เรากำลังรบศึกไวรัสโควิด-19 ตัวเป็นเกลียว รบกับศึกเศรษฐกิจผู้คนไม่มีงานทำ ไม่มีจะกินกันมากมาย ในขณะเดียวกันศึกภายในก็กำลังร้อนระอุ เพราะทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายที่เคยเป็นกลาง ฝ่ายที่อยู่ต่างประเทศ ก็กำลังหาทางโค่นล้มรัฐบาลกันอย่างสุดฤทธิ์ ขณะนี้ยังไม่ทราบผล
การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) ที่อิสราเอล และไทยใช้อยู่ ก็แตกอำนาจของปวงชนเป็น 3 อำนาจเหมือนๆ กัน อันได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ และอำนาจบริหาร
แต่อำนาจนิติบัญญัติ (สส. และ สว.) เป็นผู้รวบและใช้อำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียวมากมาย อันได้แก่
อำนาจการจัดสรรงบประมาณหรือทรัพยากรของรัฐ
อำนาจการกำหนดหลักเกณฑ์และกฎหมายวิธีการใช้งบประมาณและการบริหารบ้านเมือง
อำนาจในการควบคุมและกำกับดูแลฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลนั่นเอง
แต่ฝ่ายนิติบัญญัติ (สส.) กลับกระโดดเข้าไปใช้อำนาจบริหาร (Executive Power) เสียเอง ตามที่ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) เปิดช่องไว้
นับว่าเป็นจุดอ่อนและเป็นปัญหาของประชาธิปไตยแบบนี้ ที่ประเทศไทยหลงใช้ตามฝรั่งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 เพราะคนสำคัญในคณะราษฎร เพิ่งเรียนจบกลับมาจากยุโรปแทบทั้งนั้น
หลายประเทศเขาก็ได้แก้ไขปัญหานี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ บราซิล ฝรั่งเศส หรือรัสเซีย เขาก็ได้แก้ไข โดยแยกผู้ใช้อำนาจทั้งสาม ออกจากกันโดยเด็ดขาด ให้มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างกันทั้งสามอำนาจ มีการกำหนดมิให้มีการผูกขาดอำนาจ (หรือสืบทอดอำนาจ) อันตรงกับปรัชญาประชาธิปไตยของชาวกรีกที่เริ่มต้นไว้เมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว
ของไทยเรานักร่างรัฐธรรมนูญได้แต่พูดกันว่า เราเลือกประธานาธิบดี (President) ไม่ได้ เพราะประเทศเรามีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่เกือบพันปีแล้ว
เราคงลืมกันไปว่า เรามิได้แบ่งแยกอำนาจทั้งสามให้สมดุลและมีการคานอำนาจระหว่างกัน เรามิได้สร้างความมั่นคง (Stability) ให้แก่ผู้ใช้อำนาจบริหารแทนปวงชน (รัฐบาล)
เราเป็นประเทศที่มีที่มาที่ไป มีรากเหง้าเทือกเถาเหล่ากอ ไม่ใช่เป็นผู้ถูกเนรเทศหรืออพยพหนีภัยมาจากไหน และไม่ใช่นักจักรวรรดินิยมที่ทำตัวเป็นอันธพาลในอดีต (แม้ในปัจจุบันก็ยังปรากฎอยู่ แสดงตนเป็นตำรวจโลก โดยไม่มีใครแต่งตั้งก็มี นึกอยากจะยกทัพไปยึดประเทศใด ก็ชวนพันธมิตร 2-3 ประเทศ เข้าไปยึดเขา อยู่ไปนานๆสู้ไม่ได้ ก็ถอยออกไปเสียเฉยๆ ดังที่ปรากฏอยู่ในเอเชียใต้ขณะนี้)
ดังนั้น การเลือกตั้งหัวหน้าฝ่ายบริหาร (Chief of the Executive Power) หรือนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) ที่มีเทอมที่แน่นอน ที่คัดสรรมาจากนักบริหารมืออาชีพจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่ไม่มีประวัติด่างพร้อย มีประวัติการบริหารงานเป็นที่สำเร็จยอมรับได้ (Record of Success) ในแขนงงานของตน เพื่อสร้างเสถียรภาพ (Stability) ให้แก่ผู้ใช้อำนาจบริหาร (Executive Power) เช่นเดียวกับประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี (Presidential Democracy) และ แบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi - Presidential Democracy) และเพื่อเป็นการลดอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ
(Legislative Power) ลง ให้มีการสมดุลย์ (Balance of Power) กันระหว่างอำนาจทั้งสาม จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง
คุณสมบัติ (Qualification) ของผู้ที่ควรได้รับการคัดเลือกเข้ามาใช้อำนาจบริหารแทนปวงชน ก็น่าจะเป็นดังนี้
1.จากภาคธุรกิจ
- เคยเป็นประธาน รองประธาน หรือ CEO ของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของไทย อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
- เคยเป็น CEO ของธุรกิจหรือการประกอบการ ที่มียอดขายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท หรือกิจการที่มีรายได้เสียภาษีปีละ 500 ล้านบาทขึ้นไป อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
2.จากภาครัฐกิจ
- เคยเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยว่าการ อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
- เคยเป็นนายกเทศมนตรีของเทศบาลนครหรือของเขตพิเศษ (กทม, เมืองพัทยา) อย่างน้อย 2 ปี ขึ้นไป
- เคยเป็นข้าราชการประจำระดับรองอธิบดี อธิบดี รองอธิการบดี อธิการบดี รองปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวง หรือตำแหน่งบริหารอื่นที่เทียบเท่า อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
- เคยเป็นผู้บัญชาการทหาร ตำรวจ ในตำแหน่งผู้บัญชาการ (พลโทขึ้นไป) อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
- เคยเป็นรองหัวหน้ารัฐวิสาหกิจ หรือหัวหน้ารัฐวิสาหกิจ หรือองค์การมหาชน อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป ซึ่งไม่เคยมีความเสียหายจากผลงานในอดีต
3.จากภาคประชากิจ
- เคยเป็นประธานหอการค้าหรือรองของจังหวัดต่าง ๆ หรือของสภาหอการค้า อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
- เคยเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมหรือรองของจังหวัดต่าง ๆ หรือของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
- เคยเป็นนายกสมาคมวิชาชีพต่างๆ อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
- เคยเป็นประธานหรือรองประธานมูลนิธิที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
- เคยเป็นประธานองค์การที่ไม่แสวงหาผลกำไร และทำงานเพื่อสังคม เช่น สภากาชาดไทย สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม อย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
เป็นต้น หรือตามแต่จะปรับปรุงเพิ่มเติมโดยกฎหมายลูกของ รธน.
_______________________________________
โดยให้ผู้ที่มีคุณสมบัติทั้งหมดข้างต้น มาลงทะเบียน ณ สำนักงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ก่อนจะมีการคัดเลือกหัวหน้าผู้ใช้อำนาจบริหาร (Chief of the Executive Power) 6 เดือน เพื่อจะได้ถูกประกาศรายชื่อเป็น สมาชิกสมัชชานักบริหารแห่งชาติ ให้มีสิทธิลงคะแนนเสียง เลือกนายกรัฐมนตรีได้ และมีสิทธิ์สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีได้
_______________________________________
การแก้ไขปัญหา ความไม่สมดุลแห่งอำนาจทั้งสามในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (The Unbalance of the Three Powers in the Parliamentarian Democracy) เช่นเดียวกับ ที่ประชาธิปไตยอีก 2 แบบ (Presidential Democracy และ Semi – Presidential Democracy) ได้ทำสำเร็จมาแล้ว และสร้างความมีเสถียรภาพ(Stability) และความเจริญที่ยั่งยืนของประเทศ (a sustainable development) ก็อาจจะทำได้ไม่ยาก โดยไม่จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่มีการคัดเลือก สรรหา และเลือกตั้งจากผู้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้ามาบริหารประเทศได้ และมาเป็นหัวหน้าผู้ใช้อำนาจบริหาร (Chief of the Executive Power) หรือนายกรัฐมนตรี ได้ไม่ยากนัก
เพียงแต่เอารัฐธรรมนูญ ฉบับที่ประชาชนยอมรับมากที่สุดคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 หมวด 7 ว่าด้วย “คณะรัฐมนตรี” มาแก้ไขเพียง 6 มาตรา ดังต่อไปนี้ ก็จะทำให้ “ธุรกิจการเมือง” (บ่อเกิดแห่งการทุจริตคอร์รัปชั่น), “การเมืองน้ำเน่า” (บ่อเกิดแห่งการไม่สามารถเอาคนดีเข้ามาบริหารบ้านเมืองได้) และ “การสืบทอดอำนาจ” (บ่อเกิดแห่งความไม่พอใจของประชาชนต่อนักปฏิวัติรัฐประหาร) จบชีวิตไปจากประเทศไทย โดยไม่ต้องมีสงครามกลางเมืองระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ ระหว่าง เสื้อสีต่างๆ อีกต่อไป
_______________________________________
หมวด 7
คณะรัฐมนตรี
มาตรา 1 พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน โดยยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ
ให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี และจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินกว่าแปดปีมิได้
มาตรา 2 ให้นายกรัฐมนตรีมาจากการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยตรงและลับของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 4 (หรือองค์กรเลือกตั้งหัวหน้าฝ่ายบริหาร) โดยรายชื่อของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งจากคณะกรรมการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามของการเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 5
โดยมีประสบการณ์ความรู้ความสามารถที่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ปราศจากผลประโยชน์ที่ขัดกันในการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี
หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี
มาตรา 3 ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีประกอบด้วย ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นกรรมการ ทำหน้าที่ตามมาตรา 2 ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับบัญชีรายชื่อจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง แล้วแจ้งผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด
ให้กรรมการตามวรรคหนึ่ง เลือกกันเองให้กรรมการผู้หนึ่งเป็นประธานกรรมการ
ในกรณีที่ไม่มีกรรมการในตำแหน่งใด หรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ถ้ากรรมการที่เหลืออยู่นั้นมีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ให้คณะกรรมการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีประกอบด้วยกรรมการที่เหลืออยู่
มาตรา 4 บุคคลที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(1) มีความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่จะใช้ในการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี โดยมีประวัติการทำงานบริหารงานหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนมาก่อน
(2) ไม่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่า กระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือเคยกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม
(3) เคยรับราชการหรือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งดำรงตำแหน่ง ไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือเทียบเท่า ไม่น้อยกว่าสองปี
(4) เคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการผู้จัดการในบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯมาไม่น้อยกว่าสองปี
(5) เคยดำรงตำแหน่งนักบริหารภาคประชากิจ เช่น จากสภาหอการค้า สมาคมวิชาชีพ สภาอุตสาหกรรม มูลนิธิที่ทำประโยชน์แก่สังคม องค์การอาสาสมัคร สมาคมทางศาสนา องค์กรที่ทำประโยชน์สาธารณะ ตามหลักเกณฑ์จะกำหนดมาไม่น้อยกว่าสามปี
มาตรา 5 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีการแถลงนโยบายและวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ ของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างน้อยสองครั้งก่อนวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยให้มีการถ่ายทอดรายการสดผ่านวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือสื่อมวลชนอื่น และเปิดโอกาสให้มีการซักถามปัญหาจากตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่ได้ลงทะเบียนแจ้งความจำนงไว้ กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยผู้รับสมัครเลือกตั้งทุกคนต้องเข้าร่วมงานดังกล่าว มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ มิให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
_______________________________________
มาตรา 6 เมื่อครบกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็น วันเดียวกัน ทั่วราชอาณาจักร
ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นแทนภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวัน แต่ไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันที่ตำแหน่งว่างลง
ระยะเวลาของบุคคลผู้ที่ได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ตามวรรคหนึ่งให้ดำรงตำแหน่งเป็นไปตามมาตรา 1 วรรคสาม
_______________________________________
ประชาธิปไตยแบบที่ 4 นี้ อาจเรียกได้ว่า ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกับแบบเก่าสามแบบที่มีอยู่แล้ว (The Three Existing Conventional Forms of Democracy) ซึ่งอาจเป็นการวางยาของพวกล่าเมืองขึ้น ที่ไม่อยากให้มีความสงบและความเจริญในประเทศที่กำลังพัฒนาก็เป็นได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี