ปรับทุกข์กันได้ ก็ดีแน่ ถ้าช่วยกันหาทางแก้ ก็ยิ่งดี : รออัศวินม้าขาว มาแก้ รธน. เสียที เพื่อให้คนดีมีความสามารถ ได้ปกครองบ้านเมือง

ปรับทุกข์กันได้ ก็ดีแน่ ถ้าช่วยกันหาทางแก้ ก็ยิ่งดี : รออัศวินม้าขาว มาแก้ รธน. เสียที เพื่อให้คนดีมีความสามารถ ได้ปกครองบ้านเมือง

วันอาทิตย์ ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน คอลัมน์ได้เรียกร้องให้คนไทยผู้รักชาติ ชวนกันเลิกพายเรือในอ่าง (ใช้ รธน. เดิม ซึ่งเขียนมอบอำนาจให้ สส. เป็นผู้เลือกตั้ง นรม. (หัวหน้าอำนาจบริหาร หนึ่งในสามอำนาจ ของระบอบประชาธิปไตย) เพื่อโรคมะเร็งของประเทศจะได้หมดไปเสียที จากระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentarian Democracy) ที่เราไปเลือกไว้ตั้งแต่ปี 2475

สรุปแล้วก็คือ เราควรจะตัดอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ (สส., สว.) ในการเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรีและคณะเสีย


แต่ใครเล่าจะเอากระดิ่ง ไปผูกคอแมว

เพราะ รธน. ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (ฉบับปี 2560) ก็ไปมอบอำนาจให้นักนิติบัญญัติ (สส., สว.) เป็นผู้ให้ความเห็นชอบ

แล้วเขาจะให้ความเห็นชอบ แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัดอำนาจของเขาเองหรือ

จึงเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ซึ่งเราจะต้องช่วยกันหาทางแก้

คนที่เราต้องการให้มาปกครองบ้านเมือง ก่อนที่ประเทศจะสิ้นชาติ ก็ได้แก่

คนดี และคนที่มีความสามารถ

คนดี ตามคำแนะนำในพระบรมราโชวาทของ “พ่อ” ของเราที่ได้จากไปแล้ว ก็คงไม่ต้องอธิบายมาก คนดี ก็คือคนไม่ประพฤติชั่ว ไม่ทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ทำผิดกฎหมาย ไม่ซื้อเสียงจากประชาชน ไม่ซื้อเสียง สส. ไม่ใช้ระบบเล่นพวกเล่นญาติ (Nepotism)

คนมีความสามารถในการบริหาร (Professional Executive with proven success)

คือใคร เราจะคัดเลือกมาได้อย่างไร ก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก

อาชีพที่ควรจะมาบริหารประเทศได้ ก็น่าจะมีอยู่เพียง 3 แขนงใหญ่ๆ ได้แก่ ธุรกิจ (Business Sector) ประชากิจ (Social Sector) และรัฐกิจ (Public Sector)

เมื่อเรากำหนดคุณสมบัติของนักบริหารมืออาชีพที่ควรจะมาบริหารประเทศได้แล้ว ก็ควรจะกำหนดให้เป็นหน้าที่ของบุคคลดังกล่าวทั้งหลาย (ที่ไม่มีใคร ยอมลงไปสมัครรับเลือกตั้งกับระบบธุรกิจการเมืองในปัจจุบัน เพื่อสามารถเข้ามาบริหารประเทศ) จะต้องมาลงทะเบียน (ณ สำนักงาน กกต. หรือสำนักงานกำหนดและตรวจสอบคุณสมบัติ ของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี)

คุณสมบัติ ของนักบริหารมืออาชีพ ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ อันเป็นที่ประจักษ์ (Professional Executive with proven success) มีดังนี้

จากภาคธุรกิจ ได้แก่ ผู้ที่เคยเป็น (หรือเคยเป็น) ประธานกรรมการ บมจ. ประธานคณะกรรมการบริหาร หรือกรรมการผู้จัดการใหญ่ (CEO) ของกิจการที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เสียภาษีรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในหน้าที่ดังกล่าวติดต่อกัน ไม่ต่ำกว่า 2 ปี หรือบริษัทที่มิได้อยู่ใน SET และกิจการที่เสียภาษีให้แก่รัฐ ปีละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท

จากภาคประชากิจ ได้แก่ ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็น ประธาน เลขาธิการ เหรัญญิก ของมูลนิธิ สมาคมอาชีพ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม ตามที่คณะกรรมการกำหนดและตรวจสอบคุณสมบัติจะกำหนด ซึ่งอยู่ในหน้าที่ดังกล่าวติดต่อกัน ไม่ต่ำกว่า 2 ปี

จากภาครัฐกิจ ได้แก่ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ดำรงหรือเคยดำรงตำแหน่งสูงสุดของหน่วยงาน (กระทรวง กรม สำนักงาน องค์การ รัฐวิสาหกิจ) และประธานกรรมการ กองบัญชาการ, กองทัพภาคหรือเทียบเท่า ไม่ต่ำกว่า 2 ปี

หากกำหนดคุณสมบัติ และประสบการณ์เช่นนี้ ก็คงจะได้ บุคคลดังกล่าว น่าจะประมาณ 100,000 คน ของแต่ละอาชีพ

รวมเป็นประมาณ 300,000 คน ของนักบริหารมืออาชีพ ผู้ซึ่งจะเป็นผู้ลงคะแนนเลือกตั้ง (Election Body) หัวหน้าฝ่ายบริหาร (นรม.) และคณะ

รับรองว่า ต้องดีกว่าปล่อยให้นักนิติบัญญัติ (สส., สว.) 4-500 คน เป็นผู้เลือกแน่นอน

หากต้องการให้มีจำนวนนักบริหารมืออาชีพที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ อันเป็นที่ประจักษ์ มากกว่านี้ ก็อาจจะขยายโดยเพิ่มตำแหน่งรองของแต่ละอาชีพเข้าไปได้ อาทิ รองปลัดกระทรวง รองอธิบดี รองประธานสมาคม มูลนิธิ รองผู้บัญชาการ รองแม่ทัพ ก็น่าจะได้อีกจำนวนไม่น้อยกว่า 200,000 คน ของแต่ละภาคอาชีพ ที่จะมีสิทธิเลือกตั้ง “นักบริหารมืออาชีพ ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ อันเป็นที่ประจักษ์” ไปเลือก คนดี จากภาคอาชีพของตน ภาคละ 10 คน โดยไม่ต้องมีการรับสมัคร รวมแล้วเป็น 30 คน ที่ถูกคัดเลือกว่าเป็น คนดี ที่สมควรให้สมัครเป็นนายกรัฐมนตรี

และนักบริหารมืออาชีพ ทั้ง 3 แขนง จำนวนประมาณ 300,000 หรือ 900,000 คน นี่แหละ ที่จะไปเลือกนายกรัฐมนตรีจาก 30 คน ที่ถูกกลั่นกรองมาแล้ว ว่าเป็น คนดี ตามแนวทางที่ “พ่อ” ได้ให้ไว้

นักการเมือง ของระบอบการเมืองปัจจุบัน (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา) ก็ไม่ต้องห่วง เพราะท่านก็มีสิทธิ์ ได้รับเลือกจากการกลั่นกรองข้างต้น เพราะท่านเคยเป็น ผู้บริหารธุรกิจ ประชากิจ และ รัฐกิจ กันมาแล้ว เป็นส่วนใหญ่

ตอนนี้ ปัญหาก็มีอยู่ว่า ใครจะเป็นผู้ขี่ม้าขาว มาแก้รัฐธรรมนูญปี 2560 เพียง 2 มาตรา คือมาตรา 158 และมาตรา 159

เพราะ นักนิติบัญญัติทั้งหลาย ซึ่งจะเป็นผู้เสียประโยชน์ เสียอภิสิทธิ์ ก็คงไม่ยอมให้มีการแก้ รธน. ให้เป็นไปเช่นนี้ เพราะมีความขัดแย้งผลประโยชน์ (Conflict of ฅInterest) อยู่ชัดๆ จึงต้องมี “อัศวินม้าขาว” เข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้

ตามมาตรา 256 ของ รธน. ก็เปิดโอกาสให้ “ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง จำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย”

ซึ่งน่าจะหาได้ไม่ยาก หากสมาคมศิษย์เก่า ของสถาบันต่างๆ เช่น วปอ., ปปร., นสช., จปร., และอื่นๆ อีกมาก จะยอมเป็นม้าขาว รวบรวมรายชื่อประชาชนห้าหมื่นคน ขอแก้ รธน. เพียง 2 มาตรา

และเพื่อมิให้ขัดกับหลักนิติธรรมในเรื่อง การขัดกันแห่งผลประโยชน์ (Conflict of Interest) กับนักนิติบัญญัติจึงน่าจะเสนอเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยโดยมิให้ สส., สว. เป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้

โดยอาศัยมาตรา 5 ที่กำหนดไว้ว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้น หรือวินิจฉัยกรณีนั้น ไปตามประเพณี การปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

ศาลรัฐธรรมนูญ จึงจะเป็นม้าขาว อีกตัวหนึ่ง ในการแก้ไขปัญหาของประเทศในครั้งนี้ โดยไม่ต้องรอให้ มีม้าขาวตัวที่สามออกมาแก้ปัญหาให้แก่ประชาชนชาวไทยในครั้งนี้

สรุปแล้ว เราก็ควรรวบรวมผู้ที่มีความสามารถในการบริหารที่ประสบความสำเร็จเป็นที่พิสูจน์ได้ เสียก่อน

แล้วให้เขาเหล่านี้ มาเป็นผู้เลือกตั้ง นายกรัฐมนตรี (หัวหน้าผู้ใช้อำนาจบริหาร) เพราะเขาย่อมรู้กันดี ว่าในหมู่นักบริหารมืออาชีพนั้น ใครเป็นคนไม่ดี และใครเป็นคนดีที่สุด ที่ควรเข้ามานำการบริหารประเทศ โดยการใช้อำนาจบริหารแทนปวงชนชาวไทย

ศิริภูมิ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top