ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจกันเสียก่อนว่า จะเลือกใคร ไปทำอะไร
อำนาจสูงสุดในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจของปวงชนชาวไทยทุกคน ก็มีอยู่ 3 อำนาจ ได้แก่
1.อำนาจนิติบัญญัติ เพื่อออกกฎหมายมาเป็นกฎเกณฑ์ของบ้านเมือง ผู้ที่ได้รับเลือกมา ก็เป็น “นักนิติบัญญัติ”
2.อำนาจตุลาการ เพื่อมาให้ความยุติธรรมและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ผู้ที่ได้รับการคัดเลือก ผ่านการสอบแข่งขัน มีคุณวุฒิและประสบการณ์ ผ่านการอบรมบ่มนิสัย ก็จะเป็นตุลาการ
3.อำนาจบริหาร เพื่อมาบริหารบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าเท่าเทียมประเทศอื่นๆ แก้ปัญหาความยากจน แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ก็เป็นหน้าที่ของนักบริหาร
แต่จะให้คนไทยทั้ง 60 ล้านคน ต่างคนก็ใช้อำนาจทั้งสามกันเอง บ้านเมืองก็จะวุ่นวายพิลึก เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จึงต้องเลือกบุคลากรดังต่อไปนี้ มาทำงานแทนเรา ได้แก่
1.นักนิติบัญญัติ เข้ามาออกกฎหมายและควบคุมการปฏิบัติงานของฝ่ายตุลาการและฝ่ายบริหาร ซึ่งมักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า สส., สว.
2.นักตุลาการ เข้ามาให้ความเป็นธรรม แก่คนไทยทุกคนโดยเท่าเทียมกัน (หรือผู้พิพากษา)
3.นักบริหาร เข้ามาพัฒนาประเทศ สร้างความอยู่ดีกินดี ให้คนจนน้อยที่สุด ให้คนไทยเป็นคนรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีระเบียบวินัย มีความเสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว และควบคุมการบังคับใช้กฎหมาย ให้เป็นไปตามที่นักนิติบัญญัติ ได้อนุมัติไว้ หรือออกกฎหมายไว้
และให้เป็นไปตามคำสั่งประหารชีวิต จำคุก ปรับ ซึ่งนักตุลาการได้มีคำตัดสินไว้
ดังนั้น อำนาจทั้งสาม จึงควรจะต้องแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด มีการควบคุมซึ่งกันและกัน มีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน
แต่ในปัจจุบัน ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง มาถึงวันนี้ ผู้ที่เขียนรัฐธรรมนูญ ก็ไปกำหนดให้ นักนิติบัญญัติ (สส., สว.) เป็นผู้เลือกนักบริหารประเทศ และเข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศเสียเอง จนกลายเป็นนักการเมือง และมาประกอบธุรกิจการเมืองและธุรกิจครอบครัวกันอยู่ในประเทศไทยจนทุกวันนี้
คำว่า “นักการเมือง” จึง ได้แก่ นักนิติบัญญัติทั้งหลายซึ่งพยายามรวมตัวกัน ทั้งพรรคและพวก จะได้เข้ามาเป็น นักบริหารประเทศเสียเอง ตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งนักนิติบัญญัติเองเป็นผู้กำหนดไว้ (หรือโดยไปลอกมาจากฝรั่งตะวันตกบ้าง)
พอมีเรื่องอื้อฉาวมาก มีทุจริตคอร์รัปชั่นมาก มีการซื้อเสียงประชาชนและซื้อเสียง สส. มาก มีการแบ่งพรรคแบ่งสีมาก ก็มีผู้คนทนไม่ได้ ออกมาปฏิวัติรัฐประหาร ก็ยังใช้หลักเกณฑ์ในการปกครองประเทศ (รัฐธรรมนูญ) เช่นเดิมคือยังปล่อยให้นักนิติบัญญัติ เป็นผู้เลือกนักบริหารบ้านเมือง(นายกรัฐมนตรี) และมาเป็นผู้บริหารบ้านเมืองเสียเอง ประเทศไทยจึงต้องพายเรืออยู่ในอ่าง มา 93 ปีแล้ว
ถึงแม้รัฐบาลอายุ 4 เดือน ตาม MOA (Memorandum of Agreement) ระหว่างพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย บังคับให้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ซึ่งขณะนี้เป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องยุบสภาภายใน 31 มกราคม 2569 เพื่อเลือกตั้งกันใหม่
แต่นายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ก็ยังฉลาดพอ มิได้เอาตำแหน่งไปประเคนให้นักการเมือง (นักนิติบัญญัติซึ่งพยายามเข้าไปใช้อำนาจบริหารด้วย) ทุกตำแหน่ง ยังกันหลายตำแหน่งไว้ให้ นักบริหารมืออาชีพ (Professional Executive) หลายกระทรวง
ดังที่เราจะเห็นผลงาน จากนักบริหารมืออาชีพ(สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว) ด้านการต่างประเทศ ไปแถลงแก้คำกล่าวหาของกัมพูชา ณ ที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ (UNGA) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 ด้วยมารยาท ชั้นเชิงทางการทูต ที่ได้รับการชมเชยจากวงการทั่วโลก และจากประชาชนชาวไทย ผู้ที่ได้มอบให้เป็นตัวแทนของชาวไทย ในด้านกิจการระหว่างประเทศ
แต่ถ้าหากเผอิญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเวที UNGA เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 กลายเป็นนักการเมืองหรือนักธุรกิจการเมืองที่มาจากพรรคการเมืองของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน มิใช่นักบริหารมืออาชีพทางด้านกิจการระหว่างประเทศ ประเทศไทยเราคงจะเสียคะแนนและเพลี่ยงพล้ำในเวทีโลกไปอย่างน่าอับอาย
นักบริหารมืออาชีพ ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ อันเป็นที่ประจักษ์ (Professional Executive with proven success) ในรัฐบาลนี้ ก็ไม่ได้มีเพียงคนเดียว เคราะห์ดีที่หัวหน้าคณะรัฐบาล (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ก็ได้นำบุคคลเช่นเดียวกัน มาอยู่ในคณะรัฐบาลอีกหลายคน อาทิ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (เอกนิติ นิติทัณฑ์ ประภาศ) เข้ารับตำแหน่งไม่กี่วัน ก็กำลังทำโครงการจนกำหนดโครงการ คนละครึ่งพลัส ได้ว่า วันที่ 15 ตุลาคม พ่อค้าแม่ค้าจะต้องลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ และประชาชนผู้รับประโยชน์ ก็ต้องลงทะเบียนให้เสร็จระหว่าง 20-26 ตุลาคม พอวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ประชาชนที่มีสิทธิ์ประมาณ 20 ล้านคน จะเริ่มใช้สิทธิ์ได้ทันทีจนถึง 31 ธันวาคม 2568
รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ครัวเรือน ให้แก่ประชาชน ซึ่งคงจะเห็นผลในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
นี่แหละคือฝีมือของ นักบริหารมืออาชีพจากภาครัฐ
ส่วนนักบริหารมืออาชีพ จากภาคธุรกิจ ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ เป็นที่ประจักษ์ เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ศุภจี สุธรรมพันธุ์) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์) ซึ่งแม้แต่ฝ่ายค้านก็ยังชมเชย การตอบโต้วันแถลงนโยบายในรัฐสภา ก็คงจะมีผลงานด้านการลดค่าครองชีพ การแก้ปัญหาการส่งออก การแก้วิกฤตเศรษฐกิจ ตลอดจนการลดราคาค่าน้ำมันและก๊าซหุงต้ม ให้ประชาชนได้รับประโยชน์โดยทั่วหน้า มาให้พวกเราได้เห็นกันในเร็ววันนี้
แต่หากเรามีการยุบสภาสิ้นเดือนมกราคม 2569 เพื่อแก้รัฐธรรมนูญและเลือกตั้งกันใหม่ ตามคำมั่น (MOA) ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย โดยยังไม่ตัดอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติในการเลือกนายกรัฐมนตรีเสียก่อน เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า พรรคการเมืองที่มาเป็นรัฐบาล จะเอานักบริหารมืออาชีพ จากภาครัฐกิจ ภาคธุรกิจและภาคประชากิจ มาเป็นผู้บริหารประเทศ (คณะรัฐมนตรี) เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพ.ศ. 2560 (และฉบับอื่นๆ ก่อนหน้านี้อีก 19 ฉบับ) ไปเปิดช่องให้นักนิติบัญญัติเท่านั้น เป็นผู้ลงคะแนนเสียงเลือก นรม. (และคณะ) สส., สว. ที่เป็นนักธุรกิจการเมือง ก็คงจะใช้โควตา แย่งกันเข้ามาบริหารประเทศ โดยเอาบุตร, หลาน, น้องตน, น้องเขย เข้ามาเอาตำแหน่งเหล่านี้ ให้เป็นที่ระลึกของวงศ์ตระกูลกันต่อไป
เรายังจะทนดูกันต่อไปเช่นนี้ หรืออย่างไร
เรายังพายเรืออยู่ในอ่างต่อไปเช่นนี้ หรืออย่างไร
เราจะไม่มีนวัตกรรมทางการเมืองบ้าง หรืออย่างไร
เราจะไม่มีการปรับปรุงโครงสร้างทางการเมือง (Political Structure reform) กันหรืออย่างไร
เรายังจะปล่อยให้มีนักฉวยโอกาสทางการเมือง (Political opportunists) กันต่อไป หรืออย่างไร
เห็นจะต้องช่วยกันคิดคราวหน้า
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี