วันอาทิตย์ ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ประเทศไทยเป็นประเทศไม่ใหญ่ ไม่ใช่มหาอำนาจ แต่ก็ไม่เล็กนัก หากเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศด้วยกัน แต่ก็ค่อนข้างเล็ก หากเอาไปเทียบกับสหรัฐ, รัสเซีย, จีน, อังกฤษ, เยอรมนี, ฝรั่งเศส ฯลฯ
ความอยู่รอดของประเทศไทย และของชาวไทย จึงมิได้ขึ้นอยู่กับชาวไทยเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมอีกเป็นจำนวนมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับตนเองเป็นแกนหลัก
ความมั่นคงต่างๆ ที่ประเทศหนึ่ง และพลเมืองของประเทศนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว ชาวฝรั่งเศส ชาวญี่ปุ่น ชาวเวียดนาม ฯลฯ ก็น่าจะมีดังต่อไปนี้
1.ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
2.ความมั่นคงทางทหาร
3.ความมั่นคงทางการเมือง
4.ความมั่นคงทางสังคมจิตวิทยา
5.ความมั่นคงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ผู้เขียนสันนิษฐานว่า ท่านผู้อ่านคอลัมน์นี้ คงจะมีความรู้ในเรื่องข้างต้นตามสมควรแล้ว จากความรู้ที่ท่านได้ร่ำเรียนมา จากประสบการณ์ในอาชีพด้านธุรกิจ ด้านรัฐกิจ และด้านประชากิจ ของท่าน และจากการ “ก้าวมั่นทันโลก” ของท่าน โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Continued Learning) ของท่าน
จึงจะชวนท่านมาช่วยกันวิเคราะห์ว่า ชาติไทยของเรา มีความมั่นคงข้างต้นเพียงพอที่จะอยู่รอด หรือไม่ และหากมีข้อบกพร่อง ก็ช่วยกันคิดว่า จะหาทางแก้ไขช่องโหว่เหล่านี้อย่างไรบ้าง
1.ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ไม่จำเป็นต้องยกตัวเลขทางสถิติมาอ้างอิง เอาแต่เพียงข้อเท็จจริงมาดูกันก็พอแล้ว ญี่ปุ่นซึ่งพังราบ มาจากสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1939-1945) เกาหลีซึ่งแหลกเป็นจุณในสงครามเกาหลี (ค.ศ.1950-1953) ไต้หวันซึ่งเป็นเกาะของประเทศจีน แต่มีระบบการปกครองแยกออกไปโดยมีผู้หนุนหลังที่แข็งแรง เวียดนามซึ่งสู้รบกันเองโดยผู้หนุนหลังเป็นเวลาเกือบ 20 ปี (ค.ศ. 1955-1975) 3 ประเทศแรกก็ก้าวเลยเราไปหลายขุมแล้ว ส่วนประเทศที่ 4 ข้างต้น ก็กำลังจะก้าวผ่านไปอย่างสง่าผ่าเผย
ยังสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย อีกเล่า ก็ได้สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของตนไว้อย่างดีมากบ้าง ดีพอสมควรบ้าง และกำลังจะดีกว่าประเทศไทยบ้าง
สรุปได้ว่า ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทย ยังไม่ถึงระดับประเทศเพื่อนบ้านในย่านเดียวกัน ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ความเหลื่อมล้ำจึงยังมีอยู่ระหว่างคนรวยและคนจน 10% ถือครองทรัพย์สิน 90% ของประเทศ และคนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่กสิกร ยังหาเช้า-กินค่ำกันอยู่ ผู้เสียภาษีรายได้ให้แก่รัฐจึงมีเพียง 4 ล้านคน จากประชากร 70 ล้านคน
ส่วนทางแก้ก็คงจะพูดกันไม่หมด จะให้นักเศรษฐกิจเขียนบรรยายให้ 500 หน้า ก็ไม่จบ สู้หาทางลัดดีกว่า หาผู้บริหารมืออาชีพ ที่มีความสามารถด้านเศรษฐกิจ มีความซื่อตรง มีความกล้าหาญ และเป็นคนดี เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของชาวไทย มากกว่าประโยชน์ส่วนตนและครอบครัว มารับผิดชอบความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ชาติไทยของเราจะได้อยู่รอด ไม่ล่มสลาย
2.ความมั่นคงทางทหาร
ขณะนี้เรากำลังรบกับเขมร ตามชายแดน ไทย-กัมพูชาหลายร้อยกิโลเมตร ชาวไทยส่วนใหญ่ก็พึงพอใจกับความมั่นคงทางทหารของประเทศมาก รวมทั้งยกย่องเชิดชูทหารผู้กล้าทั้งหลาย ที่ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาดินแดนไทยอยู่ในขณะนี้
จึงขอให้คะแนนด้านความมั่นคงทางทหารของไทย ได้สัก 90 ส่วน ใน 100 ส่วน
หากจะได้เต็ม 100 ผบ.เหล่าทัพก็น่าจะออกไปเยี่ยมกองทัพเวียดนามบ้าง เผื่อจะมีการตกลงร่วมมืออะไรกันบ้าง เช่น ซ้อมรบทางทะเลระหว่างไทย-เวียดนาม ระหว่างเกาะฟู้โกว๊ก ของเวียดนาม กับเกาะกูดและเกาะพะงันของไทย หรือทำสัญญาซื้อขายอาวุธเหลือใช้ ที่เวียดนามยึดมาจากอเมริกันมากมาย ตอนสิ้นสงครามเวียดนาม เมื่อปี ค.ศ. 1975
หรือนายกรัฐมนตรีไทย จะไปเยี่ยมเวียดนามสักครั้ง ก็น่าจะเป็นการผูกมิตรที่ดี
ส่วนสภาความมั่นคงแห่งชาติ ก็น่าจะลองร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร เปิดเส้นทางแลกเปลี่ยนสินค้าผ่านแดน ให้ตรงไปเวียดนามได้ตรงตามเส้นทาง นครพนม - คำเกิด(ลาว) - ท่าแขก(ลาว) ไปจนถึง ห่าติ๋ญ และเมืองวิญ ในเวียดนามกลาง
กับเส้นทางมุกดาหาร - สุวรรณเขต(ลาว) เซโปน(ลาว), ดงห่า, กวางตรี ในเวียดนามกลาง
วิธีนี้ก็จะเป็นการระบายสินค้าชายแดนไทย ที่เคยออกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถูกปิดด่านอยู่ในขณะนี้ ได้บ้าง
นอกจากนั้น สภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เคยมีแผนการนำชาวเขมรนับล้านคน ที่มาทำงานก่อสร้างและงานอื่นๆ ตั้งแต่ EEC จนถึงกรุงเทพฯ จำนวนหนึ่งมาผนวกให้เป็นคนนิยมไทยบ้างไหม จะได้ใช้เขาเหล่านี้ได้ตามชายแดน เมื่อมีวิกฤตเกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน
แต่ในด้านความมั่นคงทางทหาร คงมิได้มีแค่นี้ เพราะเขมรกำลังฮึดก่อกวนไทยอยู่ ก็อาจจะอยู่ใต้แผนของประเทศที่สาม ที่เป็นมหาอำนาจระดับหนึ่งของโลก วางแผนให้เขมรรบไทย แล้วก็จะส่งอาวุธ ทหาร และฐานทัพของตน เข้าไปตั้งทั้งในเขมรและไทย เอาไว้เป็นฐานยิงมหาอำนาจระดับสอง ทางเหนือของ Asean ก็เป็นได้
สภาความมั่นคงแห่งชาติ ก็น่าจะได้คำนึงถึง และหาทางแก้เตรียมไว้
3.ความมั่นคงทางการเมือง
ความมั่นคงทางการเมือง ผู้เขียนน่าจะให้คะแนนแก่ประเทศไทย เพียง เศษ 10/ ส่วน 100 เท่านั้น
ก.ด้านโครงสร้างทางการเมือง แบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 อย่าง คือ อำนาจ นิติบัญญัติ (Legislative Power) อำนาจตุลาการ (Judiciary Power) และอำนาจบริหาร (Executive Power)
แล้วก็ให้ประชาชนส่วนใหญ่ เป็นผู้เลือกผู้แทน (สส., สว.) ที่จะไปใช้อำนาจ นิติบัญญัติแทนตน ข้อนี้ดีแล้ว ถูกหลักสากล 100%
และก็ให้มืออาชีพด้านกฎหมายและจริยธรรม เข้าไปใช้อำนาจตุลาการแทนปวงชนชาวไทย ก็ถูกต้องแล้วเช่นกัน มิใช่การเลือกตั้งทั่วไปแบบอำนาจนิติบัญญัติ ก็ถูกต้องตามหลักสากล และความเหมาะสม
แต่กลับให้ผู้ที่ได้รับเลือก ให้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ (สส., สว.) มาเป็นผู้คัดเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหารและ ครม. รวมทั้งใช้อำนาจบริหารเสียเอง ทำให้ขาดการสมดุล (Balance of Power) และการตรวจสอบระหว่างกัน
โครงสร้างแบบนี้แหละ ที่ทำให้เกิดธุรกิจการเมือง การคอร์รัปชั่นหาเงิน ความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมของข้าราชการประจำก็ติดโรคไปด้วย เป็นมะเร็งก้อนใหญ่ของคนไทยในปัจจุบัน
โดยที่ยังมีต่อ ด้านความมั่นคงทางการเมือง ความมั่นคงทางสังคมจิตวิทยา ความมั่นคงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงจะต้องขออภัยท่านผู้อ่าน ให้รออ่านตอนต่อไป เมื่อมีโอกาส
ศิริภูมิ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี