หมู่นี้ข่าวออกมาทางสื่อบ่อยครั้ง ว่ากระทรวงคมนาคมกำลังดำริจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ซึ่งการตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ ก็คงจะต้องมีการใช้จ่ายในการลงทุนโดยใช้งบประมาณของรัฐ เพื่อซื้อเรือบรรทุกสินค้าวิ่งไป-มาตามท่าเรือระหว่างประเทศ โดยใช้พนักงานของรัฐ หลายหมื่นล้านบาท
ความจริงสายการเดินเรือแห่งชาติเคยมีมาแล้ว และก็ขาดทุนมากมาย จนต้องยุบสลายไปหลายปีมาแล้วผู้บริหารของกระทรวงคมนาคมควรที่จะไปศึกษาดูว่า สายการเดินเรือแห่งชาติในอดีต หรือที่เรียกว่า “บริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด” อันเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม ทำไมจึงอยู่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ได้อภิสิทธิ์ในการขนส่งสินค้ามากกว่าสายการเดินเรือเอกชน
แล้วก็ควรจะไปศึกษาต่อด้วยว่า สายการบินแห่งชาติ ซึ่งเคยมีเกียรติประวัติยิ่งใหญ่มาแล้วทั่วโลก เป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทย ทำไมจึงต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย และขณะนี้ก็ได้กลายสภาพเป็นบริษัทเอกชน ที่เสนอแผนฟื้นฟูให้เจ้าหนี้พิจารณาอยู่
เหตุผลที่ทั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ และสายการบินแห่งชาติต้องล่มสลายไป เป็นเพราะการเมืองเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ การซื้อเครื่องบินหรือเรือเดินสมุทรครั้งละหลายหมื่นล้าน โดยการผลักดันและการอนุมัติของนักการเมืองในอดีต ทำให้รัฐวิสาหกิจทั้งสองต้องมีหนี้สินมากมายจนต้องล้มเลิกกิจการไป จริงหรือไม่
นอกจากรัฐวิสาหกิจทั้งสองแล้ว ยังมีองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) ของกระทรวงคมนาคมอีกใช่ไหม ที่ต้องถูกยกเลิกไปด้วย เนื่องจากเหตุผลมากมายหลายประการ ซึ่งข้าราชการประจำของกระทรวงคมนาคม ควรเข้าไปค้นเรื่องดูและสรุปเรื่องราวให้ฝ่ายการเมืองทราบ และพิจารณาเลิกคิดเสีย ว่าไม่มีทางไปรอดดอก ที่รัฐจะออกมาควักทุนเดินเรือเอง เดินอากาศเอง หรือว่าเดินรถเมล์เอง (กรณีของ ขสมก., บขส.) หรือเดินรถไฟเองเพราะ ร.ฟ.ท.เองก็อืดอาด ไม่ทันความก้าวหน้าในการขนส่งสินค้าทางบก สมัยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทรงสร้างรถไฟใช้เวลาไม่กี่สิบปีสร้างได้ 3,500 กิโลเมตร ออกมาเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้นโยบายของพรรคการเมือง ในระบอบประชาธิปไตย 80 ปีเศษ จนถึงปี พ.ศ.2557 ขยายรางออกไปได้อีกเพียง 1,000 กิโลเมตร และขาดทุนมหาศาล จนกระทั่งในยุคที่รัฐบาลมีความต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ (Stability) เราจึงได้เห็นการปรับปรุงรางเดี่ยว ให้เป็นรางคู่การขยายเส้นทางไปจนถึงจังหวัดเชียงราย การมีรถไฟความเร็วสูง การมีรถไฟชานเมืองสีต่างๆ
การไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาล (Executive Branch) โดยระบอบประชาธิปไตยที่เราใช้อยู่ ทำให้มีนักการเมืองหมุนเวียนกันมาเป็นรัฐบาลฝ่ายบริหารมากหน้าหลายตาและเมื่อระยะเวลาไม่แน่นอน ก็รีบหาทางลัดสะสมสิ่งจำเป็นในการดูแลคนในมุ้งไว้มากๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ
แท้ที่จริงแล้ว รัฐควรทำหน้าที่กำกับดูแล และส่งเสริมให้เอกชนเป็นผู้ประกอบการ ไม่ว่า จะเป็นการขนส่ง การสื่อสาร ซึ่งต้องฝ่าด่านการแข่งขันทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ อย่าไปคิดทำเองเลย จะสร้างหนี้สินให้ประชาชนรุ่นหลังต้องรับภาระอีกมากมายในอนาคต
ขอให้ดูกิจการโทรศัพท์เป็นตัวอย่าง เมื่อให้สัมปทานแก่เอกชนไปหลายราย เช่น AIS TRUE และ DTAC ก็ทำให้ประชาชนคนไทยมีโทรศัพท์ใช้กันอย่างเหลือเฟือ ช่วยในการทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าทางด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีอย่างมาก และช่วยให้มีการซื้อขาย online ในระยะโควิดระบาด อย่างได้ผล ถ้าหากไปรอรัฐวิสาหกิจ เช่น องค์การโทรศัพท์ฯแล้ว บ้านเมืองของเราก็จะต้องล้าหลังกว่าลาวและเขมรอย่างแน่นอน (ถึงแม้ตอนนี้จะล้าหลังกว่ามาเลเซียและเวียดนามไปแล้ว)
ผู้เข้ามาบริหารบ้านเมือง หรือมาใช้อำนาจบริหาร (Executive Power) แทนปวงชนชาวไทย ควรจะปรับทัศนคติเสียใหม่ ว่าท่านเข้ามาเพื่อกำกับดูแล ให้การแข่งขันมีความเป็นธรรม ไม่มีการผูกขาด (Monopoly) และเข้ามาเพื่อส่งเสริมให้วิสาหกิจเอกชน มีความก้าวหน้าสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
ท่านทราบไหมว่า ขณะนี้ กิจการต่อเรือเดินทะเล และซ่อมเรือเดินทะเล ประสบปัญหาเพียงไหน เคยคิดเข้ามาช่วยพยุงฐานะและเปิดโอกาสให้ขยายกิจการ จนสามารถรับงานสร้างและงานซ่อมเรือจากสายการเดินเรือนานาชาติบ้างไหม ขณะนี้ การต่อเรือในประเทศ ไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้กับต่างประเทศได้เลย จากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กรีดร้อนและรีดเย็นต่อเนื่องมากว่า 20 ปี ทำให้เหล็กในประเทศขาดแคลน และราคาเหล็กในประเทศสูงกว่าราคาในตลาดโลก หากต่อเรือในประเทศต้องเสีย VAT 7% อีกทั้งการสนับสนุนส่งเสริมของ BOI ก็ทำให้เจ้าของเรือนิยมซื้อเรือมือสอง หรือนำเข้าเรือใหม่จากต่างประเทศ ทั้งๆที่ อุตสาหกรรมต่อเรือนั้นจะ สร้างการจ้างงานภายในประเทศ และนำเงินตราเข้าประเทศได้อย่างมาก ผู้ประกอบการภาคเอกชนจึงหันไปซื้อเรือจากนอกมาใช้ดีกว่า หนำซ้ำ ภาครัฐเอง ก็ยังเลือกที่จะต่อเรือกับต่างประเทศ ทั้งๆที่ อู่เรือในประเทศมีความรู้ความชำนาญ มีบุคลากรที่สามารถต่อเรือได้ทัดเทียมกับประเทศในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน ซึ่งจะทำให้ลดการขาดดุลทางการค้า สร้างการจ้างงานในประเทศ และเกิดการ Transfer Technology ให้อุตสาหกรรม ต่อเรือและ ซ่อมเรือไทย พัฒนาต่อเนื่องได้ในอนาคต
ส่วนท่าเรือชายฝั่งที่ทางรัฐ (กระทรวงคมนาคม) ไปสร้างไว้ในอดีต ก็ขาดการดูแลบำรุงรักษา สร้างแล้วทิ้งขว้างๆ จึงมิได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควร แล้วก็ยังคิดจะสร้างท่าเรือเดินสมุทรสำหรับนักท่องเที่ยวในอ่าวไทยอีก ซึ่งคงจะต้องใช้เงินอีกหลายหมื่นล้านบาท
รัฐบาลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อย หาเสถียรภาพหรือความยั่งยืน (Sustainability) ไม่ได้ ท่านคงลืมไปแล้วว่า รัฐบาลก่อนหน้าท่าน ไปเวนคืนที่ดินเป็น Land Bridge กว้าง 100 เมตร สร้างถนนสายหลักยาว 200 กม. จากฝรั่งทะเลตะวันตกมาฝั่งทะเลตะวันออก กระบี่-สุราษฎร์ธานีไว้หลายสิบปีแล้ว เข้าใจว่าเป็นสมัยที่มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพยาวนาน ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ในปัจจุบันแทนที่ไทยจะมีท่อน้ำมันขนาดใหญ่จากฝั่งอันดามัน มาลงอ่าวไทย (ฝั่งแปซิฟิก) ที่ อ.ขนอม จ.สุราษฎร์ธานี แทนที่เรือประมงและเรือน้ำมันขนาดย่อม จะถูกลำเลียงทางรางข้ามฝั่ง แปซิฟิกไปลงฝั่งอันดามัน ก็ยังไม่มี จึงมีแต่ถูกชาวบ้านรุกล้ำเข้าไปใช้พื้นที่ที่ควรจะเป็น Land Bridge เชื่อมสองมหาสมุทร อยู่ในประเทศไทย ก็กลายเป็นที่ปลูกมะพร้าวและผลไม้ที่ชาวบ้านเข้าไปใช้ประโยชน์ เพราะรัฐเพิกเฉยในการดูแลและพัฒนาไปตามแผนเดิมที่มีอยู่
นอกจากนั้น ท่าเรือที่เอกชนสร้างค้างไว้ทางฝั่งแปซิฟิก (ในอ่าวไทย) ก็มีอยู่แต่ยังมิได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงคมนาคม หากรัฐอนุญาตให้ทำเป็นท่าเรือน้ำลึกได้ ก็จะเป็นการเปิดเส้นทางเชื่อมสองมหาสมุทรได้ทันที โดยรัฐไม่ต้องลงทุนเอง คอยแต่สนับสนุนเอกชน อำนวยความสะดวกแก่เอกชน เท่านั้นประเทศไทยก็ไปโลด
ส่วนการคิดสร้างท่าเรือสำราญ (Cruising Line) ที่เกาะสมุยก็ควรเลิกคิดได้ เพราะจะต้องลงทุนทำท่าเรืออีกมหาศาลและต้องใช้ที่ดินบนฝั่งเกาะสมุยอีกกว้างใหญ่ เพื่อรองรับโกดังสินค้า คลังสต๊อกน้ำมัน การศุลกากรการตรวจคนเข้าเมือง ฯลฯ ตลอดจน Supply Chain ของ Cruising Line
อุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือสมุยไม่มีสนามบินสำหรับเครื่องบินขนาดใหญ่พิสัยไกล จะทำอย่างภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (หรือใช้ภาษาไทยตามวัฒนธรรมไทยว่า “กรณีศึกษาที่ภูเก็ต” หรือ “กรณีตัวอย่างของภูเก็ต” ก็น่าจะเหมาะสมอยู่) ผู้โดยสารจากเรือสำราญ (Cruising Line) ย่อมไม่สามารถจะบินเข้า-ออก ได้ดีเท่าที่ภูเก็ต หากใช้สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีสนามบินขนาดใหญ่ของรัฐอยู่แล้ว ใช้ท่าเรือของเอกชน ซึ่งมีอยู่แล้วที่อำเภอขนอม เราก็จะเปิด “สมุยแซนด์บ็อกซ์” หรือ “กรณีตัวอย่างของสมุย” ได้เลยภายในเวลาอันสั้น
ขอให้นักการเมืองที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือจากการสืบทอดอำนาจของการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ.2557 ลองไปคิดกันดู ว่าท่านอยู่ในตำแหน่งที่มีอิทธิพลในการสร้างประเทศ ที่มีโอกาสในการสร้างชาติไทย ท่านควรจะใช้ Political Will (ความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวทางการเมือง)ผลักดันเรื่อง Land Bridge และ ท่าเรือน้ำลึกของสองมหาสมุทร ให้แล้วเสร็จ โดยการส่งเสริม สนับสนุน และเปิดโอกาสให้เอกชนเข้าไปลงทุน บริหารจัดการ โดยรีบด่วนต่อไป
พูดถึง “กรณีตัวอย่างของภูเก็ต” (Phuket Sandbox)ต้องขอแสดงความยินดี กับรัฐบาลที่ทำแล้วได้ผลจริง ฝรั่งนักท่องเที่ยวบินตรงจากยุโรป มาอยู่ภูเก็ตอย่างสะดวกสบายนับหมื่นคน เพราะมีสนามบินขนาดใหญ่ไว้รองรับ แต่เขาก็ตำหนิว่า ควรจะทำได้ดีกว่านี้ เพราะขณะที่ตรวจสอบและกักตัวนักท่องเที่ยวอย่างเคร่งครัด แต่กลับปล่อยให้แรงงานไทยและเทศ ทะลักเข้ามาทางถนนอย่างมากมายโดยไม่มีการกักตัว ทำเอาภูเก็ตเริ่มจะมีคนติดโควิดเพิ่มกันอีกแล้ว
จับให้มั่น คั้นหมาย ให้วายวอด
ช่วยให้รอด รักให้ชิด พิศมัย
เมื่อจำเป็น ก็ฟันทิ้ง อย่างจริงใจ
เด็ดให้ขาด แล้วชาติไทย จะเจริญ
เขียนจบแล้วให้คิดถึงจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ จัง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี