งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 จำนวน3.1 ล้านล้านบาท ถูกตั้งคำถามว่า ตอบโจทย์ปัญหา และความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนแค่ไหน ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าหรือไม่ และอย่างไร รวมไปถึงการชี้ให้เห็นถึงปัญหาสำคัญอะไรของประเทศบ้าง
สำหรับผมแล้วมองว่า การจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2565 เกิดขึ้นมาด้วยแนวคิดและกระบวนการแบบเดิม คือความเชื่อที่ว่า ข้าราชการประจำ และระบบราชการ เป็นกลไกหลักของการขับเคลื่อนประเทศ ทำให้แนวทางการจัดทำงบประมาณของประเทศยังคงขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนอยู่เช่นเคย เพราะสำนักงบประมาณที่มีหน้าที่ในการดูแลเรื่องนี้ ยังคงเพิกเฉยต่อเสียงของชาวบ้าน หรือความเดือดร้อนของคนในสังคม ทำให้การจัดทำงบประมาณที่ผ่านมา และในปัจจุบัน ไม่สามารถเข้าถึงความต้องการของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง นี่คือสิ่งที่ต้องรีบดำเนินการแก้ไขในทันที
ในส่วนปัญหาสำคัญที่อยู่เบื้องหลังงบประมาณรายจ่ายปี 2565 คือ รายได้ของรัฐบาลที่คาดว่าจะไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 2.4 ล้านล้านบาท ในขณะที่จำนวนหนี้สาธารณะสูงถึง 8.6 ล้านล้านบาท เท่ากับ 55% ของ GDP ที่สำคัญ งบประมาณในหมวดเงินเดือนค่าตอบแทนตั้งไว้สูงถึง 40% ของงบประมาณดังนั้น เมื่อหักงบประมาณรายจ่ายประจำ และการชำระหนี้แล้ว ประเทศไทยจะเหลืองบประมาณในการลงทุนเพื่อการพัฒนาน้อยมาก ในขณะที่โจทย์ปัญหาที่ต้องแก้ไขมีมากมาย และไม่ง่ายเลย อีกทั้งจำนวนประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลก็มีอัตราเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การกู้เงินเพิ่มเพื่อใช้สมทบงบประมาณที่ขาดแคลนจึงเป็นทางออกสำคัญที่รัฐบาลควรต้องทำ
กระนั้น การแก้ปัญหาด้วยการกู้เงินเพิ่ม ก็เป็นการเพิ่มปัญหาหนี้สินให้พุ่งสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ถ้าประสิทธิภาพของการแก้ปัญหายังคงเท่าเดิม หรือลดต่ำลง ผลลัพธ์ที่ประเทศจะได้ก็คือ ภาวะทางการคลังหยุดชะงัก เพราะจำนวนหนี้สาธารณะเต็มเพดาน ส่วนความเดือดร้อนและปัญหาของประชาชนจะพอกพูน และรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาวการณ์ดังกล่าวนี้ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลในอนาคตเป็นแน่ ส่วนความทุกข์ของประชาชนก็คงตกไปอยู่ในจุดที่หนักหนาสาหัสกว่าเดิม
ประเด็นก็คือ ผู้บริหารประเทศในอดีตเป็นห่วงกับภาระหนี้สินของรัฐบาลอย่างมาก เพราะทราบดีว่า ภาระหนี้จะบั่นทอนกำลังของประเทศในอันที่จะก้าวต่อไป จึงร่างกฎระเบียบและหลักเกณฑ์สำหรับควบคุมการก่อหนี้เอาไว้อย่างเข้มงวด เช่น การกำหนดให้หนี้สาธารณะต้องไม่เกินกว่า 60% ของ GDP เป็นกรอบใหญ่ และยังออกหลักเกณฑ์ควบคุมในรายปี คือ ห้ามกู้หนี้เกินกว่า 80% ของเงินชำระคืน แล้วภาระการคืนเงินต้นและดอกเบี้ยต้องไม่เกิน 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นต้น
ดังนั้น ถ้ารัฐบาลยังคงบริหารประเทศด้วยแนวคิดแบบเดิม และจัดทำงบประมาณผ่านการกำกับของสำนักงบประมาณแบบเดิม รัฐบาลก็คงต้องทำการแก้กฎระเบียบ และหลักเกณฑ์การควบคุมหนี้ของรัฐบาลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น สถานะความน่าเชื่อถือทางการเงินการคลังของรัฐบาล ก็คงปรับลดลง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความคลี่คลายทางการคลังของประเทศและรัฐบาลจะเกิดขึ้นได้ งบประมาณรายจ่ายประจำปีต้องสามารถตอบโจทย์ปัญหาของพี่น้องประชาชนได้อย่างแม่นยำ นี่คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ความกังวลทุกอย่างหมดไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องมาช่วยกันคิด ร่วมกันทำ เพื่อได้งบประมาณที่ใช้น้อย แต่แก้ปัญหา และพัฒนาได้มาก เสมือนกระสุนปืนขนาดเล็ก ราคาไม่แพง แต่แม่นเป้า และประสิทธิภาพสูง
สำนักงบประมาณต้องหยุดออกแบบงบประมาณที่ฟุ่มเฟือย แต่ประสิทธิผลต่ำไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนได้แล้ว ผลิตภาพ (Productivity) ของสำนักงบประมาณต้องได้รับการยกระดับ ด้วยการรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชน และรู้สึกรู้สาไปกับความเดือดร้อนของพวกเขา
ทั้งหมดนี้ คือ ภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาล ที่ท้าทายความสามารถ และสติปัญญา
หวังว่า ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ในเร็ววันครับ
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี