“บัตรทอง” หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่ก่อนหน้านี้เรียกว่านโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค เป็นระบบที่เติมเต็มสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลคนไทยแบบ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” จากเดิมที่ก่อนหน้านั้นมีเพียงสวัสดิการของข้าราชการ และประกันสังคมของแรงงานในสถานประกอบการเอกชนเท่านั้น หากนับจนถึงปัจจุบันก็ผ่านมาแล้ว 19 ปี นับจากปี 2545 ที่ระบบบัตรทองเริ่มให้บริการ แม้จะมีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น ก็มีการปรับปรุงแก้ไขไปตามลำดับ
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “โครงการเพิ่มสิทธิ์บัตรทอง ช่วยอะไรคนไทยบ้าง?” จัดโดย โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ซึ่ง นพ.ภูษิต ประคองสาย ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านส่งเสริมสุขภาพ) กล่าวว่า พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี พ.ศ.2545 ได้มีการกำหนดสิทธิประโยชน์ในบัตรทอง ว่าประชาชนสามารถได้รับบริการทางการแพทย์อะไรบ้าง และปัจจุบันเมื่อเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้มีนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นจึงจำเป็นต้องพัฒนาสิทธิประโยชน์ให้ดีขึ้นจากเดิม
ทำให้เกิดโครงการขึ้นมา “ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ส่งงานวิจัยเพื่อพัฒนาสิทธิประโยชน์ เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและเกิดผลดีต่อสุขภาพของประชาชน” ซึ่งสิทธิประโยชน์ที่เห็นได้ชัดคือ 1.ยาต้านไวรัสเอดส์ (HIV-AIDS) ในปี 2545 ไม่ได้รวมของยาตัวนี้เข้าไปในสิทธิประโยชน์ เนื่องจากมีราคาที่สูงมาก แต่หลังจากนั้น 3 ปีเมื่อไทยเริ่มผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ได้เอง ซึ่งมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ จึงได้รวมยาต้านไวรัสเอดส์เข้าในสิทธิประโยชน์ 2.การปลูกถ่ายอวัยวะ เช่นการปลูกถ่ายไต การปลูกถ่ายตับ และการปลูกถ่ายหัวใจในผู้ใหญ่ ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงมาก จึงสามารถช่วยชีวิตคนไทยได้หลายชีวิตมีโอกาสเข้าถึงการรักษา
“บัตรทองได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไป ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ได้พัฒนาเรื่องการใช้เทคโนโลยีและทักษะการรักษาพยาบาล ส่วนทางภาครัฐก็ได้ประโยชน์เช่นกัน ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้ เนื่องจากประชาชนมีงานทำ และมีรายได้เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันภาครัฐจะได้รับคำชื่นชมจากประชาชนอีกด้วย” นพ.ภูษิต กล่าว
นพ.ภูษิตกล่าวต่อไปว่า ในเรื่องของผู้กำหนดนโยบายในโครงการมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นผู้สนับสนุนในด้านวิชาการและงบประมาณ ซึ่งสามารถบอกทิศทางได้ว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องที่สำคัญ จึงทำให้มีกลุ่มเหล่านี้มีความสำคัญที่ทำให้มีการพัฒนาบัตรทองและสิทธิประโยชน์ ไปในทิศทางที่ถูกต้องและเหมาะสม โครงการพัฒนาสิทธิประโยชน์ จึงเป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ถ้าพัฒนาเรื่องของสิทธิประโยชน์ต่อไปจะเป็นผลดีต่อกับประชาชน
ด้าน วราภรณ์ สุวรรณเวลา ผู้อำนวยการสำนักพัฒนานโยบายและยุทธศาสตร์ กล่าวว่า ตัวอย่างงานวิจัยจากโครงการเพิ่มสิทธิ์บัตรทอง ที่ได้รับการบรรจุเป็นสิทธิประโยชน์บัตรทองที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน ได้แก่ “การคัดกรองการได้ยินในเด็กแรกเกิด” โดยในอดีตเป็นสิทธิประโยชน์ที่เด็กจะไม่ได้รับการตรวจ จึงได้มีการศึกษาวิจัยพบว่า อัตราการไม่ได้ยินในเด็กแรกเกิดอยู่ที่ 1-2 คนต่อเด็ก 1 พันคน แต่ในเด็กกลุ่มเสี่ยง เช่น มีน้ำหนักน้อย มีโรคประจำตัวมาก จะมีโอกาสไม่ได้ยินสูงถึงเกือบ 20 เท่า
“เพราะฉะนั้น 1 ปีจะมีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 6 แสนคน จะมีเด็กแรกเกิดที่มีปัญหาการได้ยินประมาณ 3 หมื่นคน ซึ่งถ้าตรวจตั้งแต่แรกเกิดจะรักษาหายได้ โดยมีเวชปฏิบัติชัดเจนว่า เด็กแรกเกิดภายใน 72 ชั่วโมง จะต้องตรวจครั้งที่ 1 ภายใน 1 เดือนจะต้องตรวจครั้งที่ 2 และภายใน 6 เดือนจะต้องตรวจครั้งที่ 3 ถ้าหากวินิจฉัยได้เร็วและได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง เด็กจะเติบโตมีพัฒนาการที่สมวัย” วราภรณ์ ระบุ
วราภรณ์ กล่าวต่อไปว่า อีกตัวอย่างในโครงการคือ “การผ่าตัดประสาทหูเทียม” ซึ่งใช้เวลาทำให้เป็นสิทธิประโยชน์ประมาณ 10 ปี เนื่องจากในสมัยนั้นเครื่องประสาทหูเทียมมีราคาสูงถึง 1 ล้านบาทต่อเครื่อง แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงเครื่องละ 6 แสนบาท ซึ่งมีคุ้มค่าต่องบประมาณและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยอีกด้วย ทั้งนี้ สิทธิบัตรทองสามารถใช้ได้ทุกอย่างในการรักษา ยกเว้นศัลยกรรมความงามที่ไม่ใช่เป็นเหตุผลทางการแพทย์ การรักษาผู้มีบุตรยาก การบำบัดยาเสพติด อุบัติเหตุบนท้องถนน และการรักษาที่กำลังค้นคว้าทดลอง เพียงแต่ว่าที่มีโครงการพัฒนาสิทธิประโยชน์ขึ้นมาเพื่อจัดงบประมาณเฉพาะ เพื่อนำเทคโนโลยีในการรักษาเข้าไป และเพิ่มการเข้าถึงการบริการมากขึ้น
เมื่อมองในอดีตเมื่อประชาชนอยากได้สิทธิประโยชน์จะค่อนข้างยาก จึงทำให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและความต้องการที่จำเป็นในสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับ!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี