หลวงพ่อวิชัย เขมิโย เจ้าอาวาสวัดถ้ำผาจม อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมตตาเป็นองค์แสดงธรรมองค์แรก ในหัวข้อ “กิเลสลากมา ตัณหาลากไป” ในงานพิธีหล่อพระพุทธเมตตาและองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต , หลวงปู่ดูลย์ อตุโล และหลวงตามหาบัว ที่วัดป่าบางแสม อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา (วัดสาขาของวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร จ.สุรินทร์ ซึ่งมีพระเทพวชิรญาณโสภณ หรือ ท่านเจ้าคุณเยื้อน ขนฺติพโล เป็นเจ้าอาวาส และ เป็นเจ้าคณะ จ.สุรินทร์) ทาง “แนวหน้า ออนไลน์” จึงนำมาถอดเทปนำเสนอเป็นธรรมทาน ตอนที่ 2 ดังนี้
...ถ้าชีวิตของเรามันคิดฟุ้งซ่านมาก กิเลสลากมา ตัณหาลากไป ไปเหนือไปใต้ ไปใกล้ไปไกล เราก็จะได้เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเตือนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเดชพระคุณท่าน (ท่านเจ้าคุณเยื้อนฯ ) พูดสัจธรรมสั้นๆ ให้พวกเราฟังอยู่ตลอดเวลา เพราะท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านไม่พูดยาวหรอกคุณโยม ถ้าใครหยุดคนนั้นก็จะเห็นธรรมะ ถ้าใครละคนนั้นก็จะเห็นทางพ้นทุกข์ เรียกว่า เห็นพระนิพพานก็แล้วกันฃฃเพราะฉะนั้น เราทุกคนเกิดมาถ้าอยากมีความสุขต้องหยุด พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้เช่นนั้น สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง “เตสํ วูปสโม สุโข” การเข้าไประงับดับสังขารได้ เป็นสุขอย่างยิ่ง สังขารคือความปรุงแต่งทางใจที่ทำให้เราคิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้ ความเป็นจริง ความคิดนั้น ไม่ใช่จิตหรอกโยม แต่จิตไปหลงความคิด ความคิดนั้นเป็นเจตสิก เป็นกิเลสก็แล้วกัน เป็นตัณหาก็แล้วแล้วกัน เป็นสังขารมาปรุงกัน แต่เมื่อคนเราไม่มีสติ คือ ผู้รู้ เตือนจิตเตือนใจตนเอง จิตองเราก็เลยไปหลง ไปปรุงแต่งว่าเป็นจิต จิตเป็นตัวผู้รับรู้เฉยๆ เหมือนทุกวันนี้ เรามักจะไปหลงเอาเรื่องคนอื่น มาเป็นเรื่องของเรา เหมือนจิตของเรา ถ้าไม่มีอำนาจ เขาจะไปเอาความคิดมาเป็นเราเป็นเขา เป็นของเราขึ้น เพราะขาดผุ้รู้ เพราะฉะนั้นจิตของคนเรา ถ้าไม่หยุด เราก็ไม่รู้ ถ้าไม่ดู เราก็ไม่เห็น ถ้าไม่ทำ มันก็ไม่เป็น ถ้าไม่ไ ปก็ไม่ถึง
โบราณเขาถึงบอกว่า ไปให้สุด ขุดให้ถึง ก็ต้องไปให้สุดขุดให้ถึง ถ้าว่าไปก็หมายความว่า ที่สุดแห่งชีวิตของพวกเราทุกๆท่าน เรามีจุดจบกันอยู่ จุดสุดกันอยู่ ถ้าเราหยุดได้เมื่อไหร่ นั่นล่ะ เราถึงที่สุดของเราแล้ว สุด คือ หยุดคือหยุดทุกอย่าง แม้แต่ดีก็ยังไม่เอา ชั่วก็ยังไม่เอา ถ้าเราไปเอาดี ก็ยังถูกสังขารปรุงแต่ง เหมือนเราเอาบุญ บุญก็ยังพาเรามาเกิดอีก ทำยังไงเราจะทำอย่างหลวงปู่ดูลย์ท่านว่า ให้เราเอาเหนือบุญ คือ หลวงปู่ดูลย์สอนไม่ให้เรามาเกิดอีก ทุกขา สติ ปุณะปุณัง การเกิดเป็นทุกร่ำไป เอาอย่างนี้ก็แล้วกันที่เห็นชัดเจนที่สุด ถ้าโยมอยู่นิ่งๆ โยมมีความสุขไหม ถ้าเราไปหลงว่า ความคิดเป็นของเรา ทุกข์แล้ว
นั่นล่ะคือความเกิด เกิดทางจิตใจ เกิดอารมณ์ขึ้นมา แม้แต่เรานั่งฟังธรรมอยู่นี่ ก็เรียกว่า สนามธรรม หรือ เวทีธรรมที่นี่ สมมติว่าเราห่วงแมวว่า นี่เขาเอาอาหารให้แมวกินหรือยัง เกิดเป็นแมวแล้ว เพราะจิตของเราเป็นตัวเกิด จิตมันต้องทำให้เป็นตัวเกิดก่อน ถ้าคิดถึงแมวนี่เป็นโมหะแล้ว ก็ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้เช่นนั้น ถ้านึกถึงสุนัขก็ต้องเกิดเป็นสุนัข มีตัวอย่างเยอะ อยู่ในธมฺมบท ขุทฺทกนิกาย
คิดอยากเป็นสุนัขได้เป็น ทั้งๆที่สุนัขตัวนั้นไม่ต้องไปผสมพันธุ์เลย เป็นสุนัขตัวเมีย เพราะตายในขณะนั้น คืนนั้นปุ๊บ จิตคิดถึงสุนัขตัวนั้น อยากเป็นสุนัข แหม! เราคนจน กินข้าวในกะลา สุนัขตนนั้นเป็นของคฤหบดี คฤหบดีให้เอาจานทองใส่ให้สุนัขกิน สุนัขตัวนี้ทำไมมีบุญเหลือเกิน อยากจะเป็นสุนัข รับประทานอาหารมากไปหน่อย อันนี้รวบรัดตัดตอนโยม ท้องอืด เพราะไม่ได้กินข้าวมา 7 แล้ว ท้องอืดอาหารย่อยไม่ทันก็เลยตาย ตายตอนที่จิตคิดอยากจะเป็นสุนัข เข้าไปในท้องสุนัขทันทีเลย นั่นเห็นไหม คุณโยม มันอยู่ที่จิตของเรา เพราะฉะนั้น เวลาฟังธรรม จึงอย่าให้คิดถึงเรื่องอะไร หรือ ถ้าเราไม่อยากเกิด พอมันคิดมาปุ๊บ ดับมันปั๊บทันที ดับความเกิด ถึงให้รู้จักคำว่า หยุด อันนี้อาตมาชอบ ชอบยังไง
เวลานั่งสมาธิ บางท่านอาจจะบอกเอ๊ะ นั่งสมาธิมานานแล้ว ทำไมไม่เห็นสงบเลย ก็สงบยังไง เราไปนั่งปรุงนั่งแต่งกับเขา เราไปนั่งหลงความคิดตัวเอง เหมือนเราดูละคร อย่าไปเล่นกับมัน ดูเฉยๆ โยมคงจะเคยไปเห็นทางภาคอิสาน หมอลำซิ่งเขาอยู่บนเวที เราฟ้อนเหงื่อไหลไคลย้อยแทบตาย เมื่อเราไปหลงอย่างนั้น คือ ไปหลง ไปรำกับเขา ไปหลงเล่นกับเขา ดูดนตรีทางภาคกลางก็เช่นกัน ทั้งๆที่ไม่ได้อะไร เห็นเขาพาเต้นก็เต้นไป อันนี้คือ ความหลง เหมือนจิตของเราคุณโยม ถ้าไปหลงกับความคิดว่าเป็นของเรา เราก็เลยคล้อยตามมัน มันก็ไม่สงบ เพราะฉะนั้น จึงใช้คำว่า หยุด ถ้าหยุดแล้วจะเห็นธรรมะ ละแล้วจะเห็นนิพพาน เหมือนองคุลิมาลก็แล้วกัน
องคุลิมาลฆ่าคนขนาดไหน คนก็ยังสงสัยว่า ทำไมท่านยังได้เป็นพระอรหันต์ ก็เพราะว่า ท่านรู้จักคำว่า “หยุด” ง่ายๆคุณโยม ถ้าเรานั่งสมาธิ ถ้าจิตปรุงแต่งเรื่องอะไรขึ้นมา หยุด หยุดลมหายใจสักนิดนึง โยมอย่าหายใจแรง หายใจเบาๆ ถ้ามันคิดขึ้นมา หยุด สตินั่น คือ ตัวเตือน “จิต” สติอธิปไตยสัพเพ ธัมมา ธรรมทั้งหลายทั้งปวง มีสติเป็นอธิปไตย มีสติเป็นใหญ่ เหมือนพวกเรามีกฎหมายเป็นใหญ่ ถ้าสติไม่มาปัญญาก็ไม่เกิด สติเตลิดปัญหาก็เกิดขึ้นมา คำว่า “สติ” คือ ผู้รู้ เราทำได้ อ่านหนังสือไม่ได้ สวดมนต์ไม่เป็นก็ทำได้ เห็นไหม คนเราสวดมนต์ไม่เป็นก็ขี้โกรธเป็นเหมือนกันน่ะ โลภเป็นเหมือนกัน สวดมนต์ไม่เป็น ก็โลภเป็น โกรธเป็นเหมือนกัน ถึงสวดมนต์ได้ มันก็เป็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เอาง่ายๆ เอาตามที่พระพุทธเจ้าของเราสอน หยุด องคุลิมาล องคุลิมาลบอก เอ้อ...ข้าพเจ้าหยุดแล้วทำไมจึงวิ่งอยู่ จริงๆพระพุทธเจ้าไม่ได้วิ่งหรอก แต่ด้วยอำนาจบารมีของพระองค์ จะทำให้องคุลิมาลไล่ไม่ทัน เราหยุดแล้ว หยุดด้วยมือเปื้อนด้วยเลือด หยุดจากศาสตราอาวุธหมดแล้ว หยุดจากกองฟอนก้อนดินที่เคยขวางปาทำร้ายผู้อื่น เราหยุดแล้ว แต่เธอที่ยังไม่หยุด สะดุ้งเลยคุณโยม
โอ้โห! เราไม่เคยได้ยินกระแสเสียงอย่างนี้เลย มีแต่คนใส่ร้ายป้ายสี พอได้ยินก็ดาบหลุดมือเลย หยุด ร้องไห้ คลานเข้าไปพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าไม่เคยได้ยินเสียงอย่างนี้เลย ได้ยินแต่เสียงสาปแช่ง ดุด่าว่าร้าย ใส่ร้ายป้ายสี แม้แต่แฟนสาวเขาก็ยังไม่เอา พ่อแม่ก็ยังไม่เอาข้าพเจ้า ที่จริงพ่อแม่เอาอยู่น่ะ แต่ตอนนั้นมันมืดอยู่ ข้าพเจ้าไม่มีที่พึ่ง
องคุลิมาล เราจะเอาบุคคลที่เขาทิ้งแล้ว มา มา มา มาหาเราตถาคต เราตถาคตจะแสดงธรรมให้ฟัง หยุดซะ หยุด หยุด หยุดปรุงแต่งทุกอย่าง และ พอบวชกับพระพุทธแล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์ บวชมาแล้วก็ยังเผลอนิดนึง ไปคิดถึงเรื่องสัญญาเก่า เคยตัดไม้ตัดมือคนมา ไม่รู้ว่าก้อนอิฐก้อนดินมาจากไหน ค้อน ก้อนดินน่ะโยม กระทบกับกายของท่าน ฟกช้ำดำเขียวไปหมด พระพุทธเจ้าล่วงรู้อยู่ พระคัจฉกุฎีล่วงรู้ เพ่งพระญาณฉายขึ้นไปอย่างกับไฟสปอร์ตไลท์ พุ่งปู๊ดไปหา สว่างอยู่ตรงหน้าองคุลิมาล ก็บอกว่า ให้หยุด หยุดสัญญา คือ สัญญาเก่า ไปยินเสียงพระพุทธเจ้าก็หยุดนิ่ง ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เพราะ “หยุด” เท่านั้น เราไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้น แต่เราก็ค่อยๆทำไปโยม
มันมีความสุขในชีวิตประจำวัน โยมอย่าลืมน่ะ ทำง่ายๆ เวลามันจะคิดห่วงโน่น ห่วงนี่ ให้ หยุด เพราะความห่วง คือ สร้างศัตรูให้กับชีวิตของเรา ถ้าเราเป็นห่วงอะไรน่ะ คุณโยม อันนั้นเป็นศัตรูในใจเรา ศัตรูอย่างใหญ่หลวงด้วยที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฎฏะสงสาร เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ให้เราห่วง
อดีตที่ผ่านไปแล้ว แล้วไป อนาคตที่ยังไม่มาถึง เราก็ไม่ต้องหัวเราะร้องไห้กับสิ่งนั้นว่า มันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อดีตมันดีดไปดีดมา อนาคตมันคดไปคดมา แม้แต่ปัจจุบันโยม เอาปัจจุบันเป็นหลักอยู่ แต่ก็ไม่ให้ยึดติดกับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นเวทนา เป็นเครื่องเสวยอารมณ์ อดีตเป็นเรื่องของสัญญาจำได้ อนาคตเป็นเรื่องของสังขารปรุงแต่ง แต่พระพุทธเจ้าให้ละละขันธ์ห้า เพราะสัญญาก็อยู่ในขันธ์ห้า เวทนาก็อยู่ในขันธ์ห้า รูปก็อยู่ในขันธ์ห้า วิญญาณก็อยู่ในขันธ์ห้า เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เอ่อ ถ้าเราไปหลงเรื่องอนาคตนี่ อนาคตจะเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ นี่ เราหลงแล้ว วาดมโนภาพไว้แล้ว สุดท้ายมันไม่เป็น ถ้าไม่เป็นก็กลุ้มใจอีก ทุกข์อีก ถ้าอดีตมันผ่านไปแล้ว ถือว่าจบไปแล้ว เหมือนเราทะเลาะกันตั้งแต่เมื่อเช้าโยม ถ้ามันจะปุ๊ดขึ้นมาอีก หยุด พอแล้ว จบไปแล้วเรื่องนั้น เราอโหสิให้ เราไม่มีเวรภัยต่อกัน เราไปคิดต่อ คิดต่อ เราก็สร้างกรรมต่อ และ เมื่อไหร่มันจะจบกัน ถ้าหากว่า มันกระทบเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรื่องดีไม่ดีก็จบกันแล้ว เพราะเรื่องไม่ดีมันก็เกิด เรื่องไม่ดีมันก็เกิด คุณโยม เพราะฉะนั้นเราก็เลยบอกว่า เอ่อ รักดีหนีชั่ว ถ้าจะให้จิตสงบน่ะ
แม้ปัจจุบันเราก็ให้เฉยๆ ให้สงบอย่างเดียว นิ่ง พอเรานิ่งแล้วทุกสิ่งมันก็ดับ แม้แต่คำว่า “ปัจจุบัน” ก็ไม่มี แล้วอย่าไปเข้าใจว่า เราเป็นผู้รู้อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเรายังเป็น “ผู้รู้” อยู่ อัสมิมานะสำคัญเกิด เราก็จะไม่พบธรรมะ เพราะอัตตาตัวตนอันนี้มาบังแล้ว ถ้าใครอยากรู้จริงๆ ให้ “หยุด” อย่าไปเข้าใจว่า เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้เห็น เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ นี่ ไปหลงมารยาของสังขาร ไปหลงมารยา เพราะความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น มันเหมือนเงา คุณโยม เงาของเรามันเป็นเพียงแค่มารยา ใครไปจับเงาถูกล่ะในกระจก จับถูกไหม จับเวลานาฬิกาพระอาทิตย์บ่าย คุณโยมจับเงาถูกไหม เวลาเราวิ่งไป มันก็วิ่งออกหน้าเราแล้ว ตะครุบมันไม่ทันสักที เหมือนเรากำลังจะมาวิ่งตามความรู้สึกนึกคิด วิ่งเท่าไหร่ โยมก็ไม่เห็นความสุข นอกจากคุณโยมจะหยุดอย่างที่กล่าวแล้ว อาตมาชอบคำนี้เหมือนกัน หยุดซะโยม อย่าคิดอะไร เอ้ย มันว่าให้ฉัน จบกันแล้ว ไม่ฉัน ไม่มีเรา ไม่มีเขาหรอก เราปฏิบัติรรมต้องให้อยู่เหนือเราเหนือเขาโยม ถ้าเรามีเรา มันก็มีเขา เหมือนโยมบางคน คนมีเขา
หลวงพ่อเยื้อน ท่านเจ้าคุณบอกว่า “เอ้อ พรุ่งนี้จะหล่อพระน่ะ หล่อหลวงปู่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย อาจารย์ของท่าน” ไปไปไป ไปหล่อกัน ไปเถอะยาย โอ้ย… ฉันไปไม่ได้ เพราะอะไรล่ะ? เพราะ “เขา” ให้เลี้ยงหลาน แน่ะ! อย่าติดเขาน่ะโยม คนมีเขา เป็นอนาคา คาบ้าน คาเรือน มาไม่ได้แล้ว เมื่อไหร่เราจะมา หยุด คุณโยม หยุดว่าติดเรื่องนั้น ติดเรื่องนี้ ติดเขาติดเรา เพราะคนเราทุกคนเกิดมาคนเดียวน่ะโยม เมื่อท่านมา มีอะไรมากับเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน เมื่อเจ้ามาตัวเปล่า เจ้าจะเอาอะไร เจ้าก็ตายไปตัวเปล่าที่เจ้ามา มีอะไรมากับเราไหมโยม เสื้อผืนเดียว ผ้าถุงผืนเดียวก็ไม่มา ไม่ได้เอาอะไรมาสักอย่าง เวลาเราตายก็เหมือนกัน ก็ไม่ได้เอาอะไรไปสักอย่าง ในโลกนี้ คุณโยม ทุกสิ่งอย่างที่เรามี เราเป็น มันเป็นขยะของโลก
อาตมาคิดว่า พระสารีบุตร คงจะรวยมากน่ะ ตึกสามชั้นขนาดนั้น กองมูลขยะ บ้านของท่าน ถ้าใครไปอินเดียก็เห็นแล้ว อยู่เมืองนาลันทา บ้านนางสุชาดาก็เหมือนกัน ก็เห็นเป็นแค่กองดินเท่านั้น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงว่า เป็นขยะของโลก ไม่มีใครเอาอะไรไปได้ หลวงพ่อฯเคยไปรดน้ำเศรษฐีโยม เขายื่นมือออกมา เขาบอกว่านี่ ฉันไม่ได้เอาไปน่ะ ถ้าไม่เชื่อเอาน้ำล้างมือก็ได้ ขี้ฝุ่นนิดเดียวก็เอาไปไม่ได้ เราจะหลงอะไรนักหนา ความหลงตัวนี้ เพราะขาดสติ ขาดผู้รู้ คำว่าสติ ลักษณะของสติ คือ ผู้รู้ เราจะอยู่ที่ไหนเราต้องอยู่กับผู้รู้ แม้แต่ที่เรานั่งขณะนี้ เราก็นั่งอยู่กับผู้รู้ ผู้รู้จริงๆ คือ ญาณ ญาณจะนำเราพาไป นำพาเราไปสู่พระนิพพาน
แม้แต่พระพุทธองค์ตรัสรู้ พูดถึงเรื่อง “ญาณ” ทั้งนั้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวกขยญาณ ญาณเหมือนผู้นำไป สู่เพระนิพพาน ปัญญาตัวนี้ก็คือญาณ อุปมาเหมือนบุรุษคนหนึ่ง เขาไม่รู้แก่น ไม้ เขาอยากได้แก่นไม้มาสร้างบ้าน แต่เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นแก่นไม้ เขาได้เข้าไปในป่า เขาไปเห็นกิ่งไม้กับใบไม้ เขานึกว่า เป็นแก่นไม้ ก็ไปเอากิ่งไม้กับใบไม้มา พอเอามาแล้ว จะทำอะไรได้ ไปหลงอยู่ว่า ฉันมีศีลกว่าเธอน่ะ เธอไม่มีศีล ฉันมีศีลกว่าเธอ จะว่าตัวเองมีศีล นี่ล่ะ ไปข่มคนอื่น บุคคลนั้นได้แต่กิ่งไม้ กับใบไม้ เพราะไปลงตัวตนว่า ตัวเอง ดีกว่าเขา สำคัญน่ะโยมน่ะ มีมากมาย ชาวพุทธเราอย่างนี้
อย่างที่สอง เฮ้ย! คนนี้มันไม่รู้แก่นไม้ คนที่สองก็เลยเข้าไปในป่าอีก ฉันจะไปเอาแก่นไม้มาให้ดูสิ เจ้านี้ เลยไปได้สะเก็ดต้นไม้ กับ เปลือกต้นไม้มา เขาก็ว่านี่แหล่ะ แก่นไม้ ว่า บุคคลหลงใน “สมาธิ” สมาธิดีก็เป็นกำลังใจ แต่อย่าหลง ถ้าหลงว่าเราเป็นคนมีสมาธิ เราเป็นคนสงบกว่าคนนั้น คนนี้ บุคคลนั้นได้แต่สะเก็ดต้นไม้ ได้แต่เปลือกต้นไม้ พระพุทธองค์อุปมาไว้น่ะ น่าคิดน่ะคุณโยม แล้วมีคนบางจำพวก โอ้ย!คนนี้มันโง่ คนไหนว่าคนอื่นโง่ เราโง่กว่าเขาอีกไม่รู้เท่าไหร่ ความโง่มันเต็มอัตราแล้ว มันล้นหัวใจออกมา มันจึงว่าคนอื่นโง่ ที่จริงเราโง่กว่าเขานั้นน่ะถ้าเราไม่ว่าเขาโง่ เราก็ไม่ใช่คนโง่ คนไหนว่าคนอื่นโง่ ก็โง่กว่าเขาแล้ว พระพุทธเจ้าอุปมาไว้อย่างนั้น คนนี้โง่ ฉันมีปัญญากว่าทุกคนเลย ฉันรู้หมด คดีโลก คดีธรรม รู้หมด หลงตัวเองว่า ตัวเองเป็นคนดีเลิศกว่าคนอื่นเขา บุคคลนี้ก็ได้แต่กระพี้ต้นไม้ เขายังไม่ได้แก่นเลย
คนที่รู้แก่นไม้จริงๆคือ คนรู้จักทำจิตให้หลุดพ้น ดังที่หลวงพ่อฯบอกเมื่อกี้นี้ เราหยุดมันก็หลุดพ้นแล้วคุณโยม หยุดแค่นั้นไม่ไปแล้ว หยุดแค่นั้น อดีต อนาคต ดับหมด ถ้ารู้จักหยุด มันก็ดับ ถ้าขยับมันก็เกิด โยมเอาตรงนี้เป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้น เราจะทำยังไง เราจึงจะได้แก่นไม้ ชีวิตของเราเกิดมา โยมต้องรู้จักทำวิมุติให้หลุดพ้น สมมติว่าเราติดเรื่องอะไรทุกวันนี้ เราก็รู้ ไม่ต้องพรรณนา แล้วจะหาว่า อูย..หลวงพ่อฯเทศน์ โยมติดลูกติดหลานมาก มันจะทำให้เรามาเป็นทาสมันอีกน่ะ ก็บอกว่าไง นี่ยายแก่ ทนไม่ไหว ก็ใช่สิ ท่านไม่มีลูก ไม่มีหลาน ท่านก็ไม่ติดอ่ะสิ ว่า (พ่อแม่ครูอาจารย์ฯท่านเมตตาหัวเราะ) ไม่พอใจอ่ะสิ ไม่พอใจ ไม่ได้ว่ายายหรอก พูดความจริงให้ฟัง ก็นั่นแหล่ะ ท่านไม่มีลูกไม่มีหลาน ท่านก็ไม่ติดลูกติดหลานน่ะสิ ใครจะไม่รักลูกรักหลาน ว่าไปอย่างนั้นอีก เอ้าไม่เป็นไรยาย เดี๋ยวค่อยๆพิจารณาไปน่ะ ค่อยๆพิจารณาไปเรื่อยๆ เห็นไหมถ้าเราติดเรื่องอะไร ใจมันอยู่ป่า ไปเทศน์อยู่ป่าช้าโยม เขาก็ระดมธรรมกัน นี่จิตมันพาออกไปอยู่กับลูกกับหลาน เห็นไหมทุกข์ไหม กายกับใจมันไม่ตรงกัน ทุกข์ไหม เหมือนเรานั่งอยู่วัดนี่ ใจพัดเข้าไปในบ้าน ทุกข์แล้ว เพราะกายกับใจไม่ตรงกัน ถ้าโยมอยากมีความสุข ในขณะนี้ เวลานี้ ต้องทำกายกับใจให้ตรงกัน กายเรานั่งอยู่ไหน ให้ใจเราอยู่ตรงนั้น รูป เอ่อนี่ รูป นั่งอยู่ตรงนี้น่ะ ถ้าไม่สงบจะรู้เหรอ เมื่อสงบถึงจะรู้
ถ้ามันไม่สงบก็นึกถึงจุดใดจุดหนึ่งในใจ มีสามจุด ที่จะทำให้สงบน่ะโยม หนึ่ง ตรงกลางสมอง เหมือนเราทำความรู้สึก คำว่าเห็น คือ ทำความรู้สึกไว้ ตรงสมองของเรา พอเรานึกถึงสมองปุ๊บ หยุดเลย ถ้ายังไม่หยุด ตรงท้ายทอยเรา วัดเอาเลยตีนผมเราสัก สี่นิ้ว ถ้าสี่นิ้วจะตรงกลางสมองพอดี โอ่ยยังไม่สงบเหรอ ดูอุณาโลมสิคุณโยม ตรงนี้คุณโยม อุณาโลม เลยหัวคิ้วขึ้นมาสักนิดนึง อย่างที่เราเห็นหลวงพ่อพุทธชินราช หรือ หลวงพ่อฯหลายๆองค์ ท่านติดอุณาโลม คือ ที่นั้นน่ะ อุณาโลม เป็นที่ออกของญาณพระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าจะถ่ายทอดพระญาณ จะทอดออกจากตรงนี้ อุณาโลม เป็นช่องว่างของจิตตรงนี้ ในอภิธรรมก็มี ทิเบตบางคนจึงหลงโยม หลงเอาสิ่วมาเจาะเลย เจาให้เป็นปล่อง เพื่อให้ ญาณ อันนั้นเขาไม่ได้เข้าใจเรื่อง “ปรมัตถธรรม” ไม่ใช่อย่างนั้นโยม ต้องปฏิบัติ ญาณจึงจะออกตรงนี้ เพราะฉะนั้นเวลาเพ่งไปทีแรกก็จะตึงๆหน่อย ถ้าโยมคิดเรื่องอะไรมาก เอาไว้ตรงนี้ โยม กับกระหม่อมของเรา อันนี้ก็จะถึงกัน จุดเริ่มต้นมันมาจาก “หทัย” คือ หัวใจ แล้วมันจะพุ่งขึ้นมาตรงกระหม่อม แล้วก็มาตรงนี้ พูดให้โยมนำไปฏิบัติได้ ไม่ต้องว่า โอ้ย เรา ไม่มีเวลาไปวัด มันติดโน่นติดนี่
โยมมีเวลาหายใจไหม ถ้าเรามีเวลาหายใจ เราก็ต้องมีเวลาปฏิบัติ มาปฏิบัติธรรมนี่โยม คือ ปฏิบัติกายกับใจของเรา ให้มันสงบ ถ้าโยมมีสติเมื่อไหร่นั่นล่ะ โยมก็อยู่กับพระพุทธเจ้า ถ้าอยู่กับพระพุทธเจ้า เราก็มีความสุข พออยู่กับกิเลสดูสิ มีแต่ความร้อน ในตัว ความเร่าร้อน ราคะก็เป็นไฟ โทสะก็เป็นไห โมหะก็เป็นไฟ ราคะคิ คือ ไฟ คือราคา โทสะคิ คือ ไฟคือโทสะ โมหะคิ คือ ไฟโมหะ นี่ล่ะ ไฟบรรลัยกัลป์ไหม้ ไหม้สัตวโลกทั้งหลายทั้งปวงอยู่ขณะนี้
หลวงพ่อฯชอบคำนี้ พระพุทธองค์ทรงอุปมาอุปไมยว่า สัตวโลกทั้งหลายเหมือนพวกเราด้วยน่ะ ที่มีวิญญาณความดีอยู่ก็ดี ไม่มีวิญญาณอยู่ก็ดี ท่านอุปมาว่า ภูเขาทึบทั้งแท่งสูงเฉียดฟ้า กำลังพังทลายลงในขณะนี้ เวลานี้ พังทลายลงมาเผาขยี้ชีวิตสัตวโลกทั้งหลาย ไม่ให้มีความสุขเลย แล้วก็ย้อนมา พระพุทธองค์ว่า คำว่าภูเขาหินทึบทั้งแท่ง คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพรักพรากจากสิ่งที่น่ารักใคร่ น่าชอบใจ เห็นไหม ความเกิด ก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากพี่น้องไป ใครก็ทุกข์ แต่สำหรับคุณโยมแล้วฏิบัติเข้าใจแล้ว ยิ่งแก่ยิ่งไม่ทุกข์โยม แต่คุณโยมถ้าไม่เข้าใจธรรมะเห็นไหมเหมือนเราไปดูหมอ โอ้ย คุณยายแก่แล้ว คุณยายถึงจะพบความสุข โอ้ย...มันโกหกหรอกโยม โอ้ย มันสวนทางพระพุทธเจ้า โอ้ย แก่แล้วมีความสุขที่ไหน
หลวงพ่อฯตอนสมัยหนุ่มๆ เข้าใจ แต่ยังไม่เข้าใจลึกซึ้ง ที่เขาว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เรายังไม่แก่ ยังไม่พบความจริง มันก็ยังไม่รู้ ทุกวันนี้ แค่ 76 ปี เท่านั้นโยม เดินยังเซหนอ เซหนอ ไปที่ไหนก็โดนจับทุกทีเลย โยมเขาจับ อย่างกับเราเป็นนักโทษ บางทีประคองด้วย อย่างที่เราเดินไม่ได้ เพราะเขากลัวเราล้ม มันสุขที่ไหน คนแก่ จะนั่งก็โอย จะลุกก็โอย เหมือนดอกไม้โรย ไม่มีเกสร เพราะฉะนั้นคุณโยมที่มาอดมาทนวันนี้ แต่มีครูบาอาจารย์เทศน์ สามรูปสามองค์ ท่านเอาอาหารมาป้อนให้เรา เอา “ธรรมโอสถ” มาให้เราดื่ม เราจะได้หายทุกข์ หายทุกข์ทางใจ คือ ไม่ต้องคิด ตั้งใจฟังอย่างเดียว ไม่ต้องส่งจิตมาหาท่านหรอก ตั้งสติไว้ที่หูของเรา มันจึงจะสงบ เพราะเสียงไปหาหูของเรา
ต้องอดทนน่ะคุณโยม เราจึงจะเห็นความจริง อดเก้าหน ทนเก้าที ลูกเอ๋ยเจ้าถึงจะเป็นคนดี เป็นเศรษฐีได้ คนแก่โยม แม่ตาย มีเมีย ลูก เมียคือ เมียของลูก ลูกสะใภ้ อยู่กับพ่อแก่ๆ ยากจน สร้างบ้านอยู่เชิงภูเขา พ่อก็เลยสั่งลูก ลูกเอ๋ย ถ้าเจ้าอดเก้าหน ทนเก้าที เจ้าจึงจะเป็นเศรษฐี ถ้าพ่อตาย ให้เอาศพพ่อไปฝังภูเขาชั้นที่เก้า นึกถึงคำพ่ออยู่ตลอด บังเอิญพ่อเลยตายลงไป แบกศพพ่อขึ้นไป แบกแต่เช้า ขึ้นไป ภูเขาเก้าชั้น นึกถึงแต่ว่า อดเก้าหน ทนเก้าที เจ้าจึงจะเป็นเศรษฐี อยากเป็นเศรษฐี พอเอาไปแล้วก็ฌาปนกิจศพ พอเสร็จแล้วก็ลงมา ลงมาจนค่ำแล้ว พลบค่ำแล้ว เหนื่อยมาก บ้านเสาไม้ไผ่ สี่เสาโยกเยก พอแกว่งขาก็ไหว แต่แกว่งขาไม่ค่อยอยากไหว อย่างว่า ทีนี้ก็เลยไปนั่งพิงเสาอยู่ใต้ถุนบ้าน ได้ยินเสียงคุยกันจู๋จี๋กัน โอ้โห แค่เราไปวันเดียวเท่านั้นล่ะ เมียเรามีชู้แล้ว คุยกันกระจุ๋มกระจิ๋ม แบบชู้สาว ทางนี้ก็ยกมีดขึ้นมา ขึ้นไปตัดคอ
ก็ อือม์... ไม่เอาน่า พ่อเราสั่งไว้ อดเก้าหน ทนเก้าที ถึงจะเป็นเศรษฐี อยากเป็นเศรษฐีทีนี้ ทำไมเราจะต้องทำอย่างนั้น ก็อด ทางนั้นก็ทำใหญ่โยม ทางนี้ยิ่งอยากขึ้นไปตัดคอ ผลสุดท้ายก็ไม่เอาเว้ย เชื่อพ่อ เชื่อพ่อดีกว่า พ่อเราให้อดทน ก็เลยนั่งหลับไป พอหลับไปทีนี้ มันเหนื่อยมาก พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ทางภรรยาก็ทำอาหารเสร็จแล้ว ก็เอ๊ะ สามีออกไปเป็นยังไง ไปดีหรือไปร้าย คืนหนึ่งแล้วก็ยังไม่มา ลงไปจะไปตามหา ไปเห็นสามีนั่งพิงเสาหลับอยู่ เดินไปปลุก พ่อๆ ไปทานข้าว แม่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ไป อ้าวทำไมพ่อเป็นอย่างนี้ พ่อไม่เหนื่อยเหรอ เธอก็ไปกินกับแฟนเธอสิ อ้าวทำไมพ่อพูดอย่างนั้น อ้าวก็เมื่อคืนจู๋จี๋อยุ่ด้วยกันไม่ใช่หรือ นอนอยู่ด้วยกันนี่ อ๋อ ทำไมพูดอย่างนี้ เอ้า ไป ไป ขึ้นไป พยายามให้ขึ้นไป เมียอ้อนวอนให้ขึ้นไป พระอินทร์โยม เอาแท่งทองเท่ากับกองฟืน วางไว้แล้วเอาผ้าขาวคลุมไว้ นั่นไง แฟนเธอ นอนยังไม่ตื่น เหนื่อยล่ะสิ เมื่อคืนนี้ ทำอะไรถึงเหนื่อย เมื่อคืนนี้ อ๋อ อย่าไปพูดอย่างนั้น แม่มีความรักเดียวใจเดียว เคารพพ่อ รักพ่อ เหมือนพ่อ แม่ไม่ทำหรอก ก็ไม่ทำยังไง ก็มันนอนอยู่น่ะ ก็พ่อไปเปิดดูสิ เป็นคนไหม พอไปเปิดดูแล้วโยม เห็นเป็นแท่งทองคำ เท่ากับตัวคน อู้ย เรารวยแล้ว เรารวยแล้ว รวยเพราะพ่อเรา อดเก้าหน ทนเก้าที เจ้าจึงจะเป็นเศรษฐีได้ ตอนนี้ก็ประสบความสำเร็จแล้ว นั่น คนเราต้องอดทนโยม อดทนต่อความลำบาก อดทนต่อความตรากตรำ อดทนต่อความเจ็บใจ
เหมือนวันนี้ โยมจะมาสร้างขันติ ความอดทน มาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์ ฟังแล้ว มันชื่นใจโยม มีความสุขใจ ผู้ใดฟังธรรมบ่อยๆ ผู้นั้นชื่อว่า ผู้รับธรรม ผู้รับธรรมเป็นผู้เจริญ ผู้ชังธรรมเป็นผู้เสื่อม "ธมฺมกาโม ภวํ โหติ" ผู้ยินดีในธรรม เป็นผู้เจริญ "ธมฺมเทสฺสี ปราภโว" ผู้ชังธรรมเป็นผู้เสื่อม คำว่าชังธรรม ก็คือ เราไม่รักตัวนั่นล่ะ ชอบตามใจตัวเอง บางทีนั่งไปไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไม่ปวด เราก็นึกว่าปวด ไปห้องน้ำซะหน่อย ก็หนีไปเฉยๆ โยม อย่าเป็นสมาธิห้องน้ำน่ะ โยมต้องตั้งใจโยม วันนี้โยมจะได้อิ่มอก อิ่มใจ โยมต้องอดทนอย่างที่กล่าว แล้วโยมต้องหยุดด้วย น่ะโยม
มองลงมาตรงกลางหน้าอกก็ได้ หยุด หยุดลมสักนิดนึง ไม่ต้องพิถีพิถัน ไม่ต้องมีรูปแบบอะไรมาก แล้วโยมเห็นความสุขตอนนี้เลย หายใจเข้าเบาๆ คอยดูสิว่า จิตสงบเราก็รู้ ไม่สงบเราก็รู้ แล้วความสงบมาตรงนี้เหรอ มันเงียบอย่างนี้เหรอ ไม่ได้คิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ เบากาย เบาใจ เบา สุดท้ายโยมก็เลยประสบพบกับความสุขแท้จริงในชีวิต สุขอะไรยิ่งกว่าความสงบไม่มีน่ะโยม โยมสงบเมื่อไหร่ โยมได้กำไรชีวิตเมื่อนั้น โยมไปหลงอารมณ์ปรุงแต่งเมื่อไหร่ โยมก็จะขาดทุนเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น เราใช้ชีวิต อย่าถือเขา อย่าถือเรา มาอย่างนี้เหมือนกัน เราเหมือนพี่น้องร่วมเกิดแก่เจ็บตาย อย่าถือเขา ถือเรา ถือเราก็หนัก ถือเขาก็หนัก ถือเราก็เป็นทุกข์ ถือเขาก็เป็นทุกข์ ไม่ถือเขา ถือเรา เบาสบาย ให้เราละกันทุกคนเลยมานี่ ธรรมะอย่าไปเอามาคุณโยม เมื่อเราสร้างเมตตาขึ้นที่ไหน ธรรมะที่เราฟังจะขังอยู่ในใจของเรา ไม่ไหลออก เหมือนขันแก้ว ขันก้นดินโยม เทน้ำใส่ น้ำไม่ไหลออกหรอก ถ้าเราปฏิบัติธรรมโยม สนใจในธรรมแต่ขาดเมตตาเหมือนแก้วรั่วๆน่ะโยมน่ะ เพราะฉะนั้นทำขันธ์ของเราให้ดี
เอาล่ะ วันนี้ก็จะเทศนาหลายองค์โยม สองสามรูป สองสามองค์ อาตมาชี้แจงสิ่งละอันพันละน้อยมาก็พอสมควรแก่กาลเวลา ท้ายที่สุดนี้ ขอให้คุณโยมทำบุญให้เป็น เห็นให้ถูกต้อง ไปให้สุดขุดให้ถึง แล้วโยมก็จะพ้นทุกข์เอง เทศนาประโยสาเน ในที่สุดนี้ ใครกำลังมีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ ใครกำลังมีโศกขอให้พ้นโศก กำลังมีภัยขอให้พ้นภัย หนี้เสนียดจัญไรทั้งหลายทั้งปวงก็ขอให้หมดไปสิ้นไป ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอชีพของท่านของจงเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสาร จะทำธุรกิจการงานใดๆก็ขอให้ประสบผลสำเร็จ ในชีวิตโดยทั่วถึงกันเทอญ - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี