แม้ว่า “สาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” สังขารจะดับขันธ์แล้วก็ตาม แต่ธรรมของพระสาวกของพระพุทธเจ้า อันเป็นเป็นดั่ง “เพชร” เปรียบเสมือนมรดกที่มอบไว้ให้กับชาวโลกยังคงดำรงไว้ แม้ว่าในที่สุดธรรมก็ไม่มีตัวตน แต่ตราบใดที่โลกยังต้องใช้สมมติโลก ธรรมก็ยังเป็นสิ่งที่เกื้อกูลโลกให้ดำรงอยู่อย่าง “สันติภาพ”
หนึ่งในนั้นคือ พระธรรมเทศนาของท่าน “พระครูกิตติปัญญาคุณ” หรือ หลวงปู่สวาท ปัญญาธโร อดีตเจ้าอาวาสวัดโป่งจันทร์ อำเภอเขาคิชกูฎ จังหวัดจันทบุรี ซึ่งองค์ท่านเพิ่งละสังขารเมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่ผ่านมา ณ วัดศรีประทุมวนาราม อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น สิริอายุ 75 ปี 10 เดือน 5 วัน 55 พรรษา เหลือไว้เพียง “ธรรม” ที่มอบไว้เป็นมรดก ซึ่ง “แนวหน้า ออนไลน์” ได้นำเนื้อหาที่องค์ท่านเทศน์ในหัวข้อ “สติสัมปชัญญะ รู้ตื่น รู้เบิกบาน” ในโอกาสงานเททองหล่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต , หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่วัดป่าบางแสม ตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา (หนึ่งในวัดสาขาของวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร จังหวัดสุริทนทร์ ซึ่งอยู่ในการปกครองของ “พระเทพวชิรญาณโสภณ” หรือ หลวงพ่อเยื้อน ขนฺติพโล เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ และ เจ้าอาวาสวัดเขาศาลาฯ ) มีเนื้อหาดังต่อไปนี้
...ฟังได้เหมือนกันน่ะ ใน 4 อิริยาบถ สามารถปฏิบัติได้ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ ก็จะว่าผู้ที่เดิน ผู้ที่นอนฟัง จะได้บุญไหม ก็เขามีสติอยู่ในการฟัง รู้ตัวอยู่ในการฟัง มันจะผิดอะไร จะนั่ง ถ้าหากนั่งไม่มีสติสัมปชัญญะ ก็เหมือนกับตอไม้น่ะสิ เพราะการฟัง เขาจะฟังด้วยสติ มีสติแล้ว มีสัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่ต่างหาก
ตรงนี้เองทำให้เกิดบุญ บางคนก็ไปสงสัยว่าบุญมันอยู่ที่ไหน บุญเป็นตัวยังไง ก็มีแต่สงสัยกันหมด มีญาติธรรมไปหา ก็เลยถาม หลวงปู่ฯๆๆ ไม่ใช่หลวงปู่ อันนี้เณรน้อยว่า ก็เลยบอกเลยโว้ย ฉันอยากจะรู้ว่าบุญนี่มันได้ยังไง บุญเป็นตัวยังไง ได้บุญ จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นบุญ พากันมานั่งปวดหลัง ปวดเอว ไม่รู้ตัวบุญ ฉลาดหรือไม่ฉลาดกันแน่
เจริญพระพุทธมนต์ก็พากันสวดจนจบ สวดยาวซะด้วย นั่งก็ปวดหลังปวดเอว พนมมือแต้ฟังอยู่ เอ่อ ก็เห็นญาติธรรมบางคนก็สวดมนต์ด้วยน่ะ สวดเก่งด้วย แล้วจะไปถามหาบุญทำไม ก็บุญก็ทำอยู่แล้ว ก็นี่ล่ะบุญ เวลาฟัง เอาหูฟังไหม ให้มีสติน่ะ เวลาฟังเอาหูฟังหรือเปล่า ฟังเสียงที่ออกจากปากใช่ไหม ปากของใคร หรือ ปากของหลวงปู่ หรือ ปากของท่านอาจารย์ที่แสดงธรรมไปเมื่อกี้นี่ เพราะหูเราฟัง แล้วมันจะเกิดบุญได้ยังไง
คิดอะไรให้คิดใกล้ๆ อย่าไปคิดไกล พิจารณาง่ายๆ เราเอาอะไรเป็นที่พึ่ง เอาหูเป็นที่พึ่งสำหรับฟังใช่ไหม อุดหูไว้สิ ถ้าไม่อยากฟัง มีที่พึ่งแล้ว ไม่เอาที่พึ่งมาใช้ประโยชน์ หูนั่นล่ะเป็นสรณะ จริงไหม หูนั่นล่ะเป็นสรณะ หู สรณัง คัจฉามิ จริงไหม คนที่หูหนวกฟังไม่ได้หรอก หูเราจึงเป็นธรรม หูเราจึงเป็นที่พึ่งที่สรณะ หูจึงเป็นธรรม หูเป็นธรรมได้ยังไง ก็เราเอาหูฟัง
ใครบอกว่าเอาตาฟัง ใครบอกว่าเราเอาจมูกฟัง จมูกก็เป็นที่พึ่งสำหรับหายใจ จมูกก็เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งสำหรับหายใจ เป็นธรรม พากันไปหาธรรมะแต่ไม่รู้จักธรรม พากันไปหาธรรมะแต่ไม่รู้จักธรรม สักแต่ว่ามีบ้านที่สวยหรู แต่ไม่รู้จักปฏิบัติบ้านตัวเอง ไม่รู้จักรักษาบ้านตัวเอง ทิ้งบ้านตัวเองให้ยักไย่ใยแมลงมุม หรือ สกปรกโสมมอยู่ นี่หรือ มนุษย์สัตว์ใจสูง บ้านของเรามันสมบูรณ์ทุกสิ่งอย่างแล้ว ขาสอง แขนสอง ศรีษะหนึ่ง นี่คือ บ้าน คือ กายเรานี่แหละคือบ้าน ที่เราเข้ามาอาศัยเป็นสรณะ
กายของเรานี่คือ กองสมมติ กองธาตุ และ กองธรรม กองธาตุและกองธรรมมาจากไหน มาจากสงฆ์ มาจากธาตุทั้งสี่ ธาตุทั้งสี่ก็สมมติว่าเป็นพระอีก ครั้งพุทธกาลก็บอกอยู่ให้พากันเข้าพระไตรสรณคมณ์ มีสติ มีสัมปชัญญะ อยู่ในกัมมัฎฐานสี่สิบห้อง เจริญกัมมัฎฐาน ในพระไตรปิฎกก็บอกอย่างนั้น จะไปเข้าที่ไหนสรณะมันจะเห็นหรือสรณะ ถ้าไปหาข้างนอก คือ การทำความเพียร การเจริญภาวนา เข้าดูที่อัสสาสะ ปัสสาสะ ตรงนี้ อย่างนั้นจะบอกสัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ ตั้งใจอะไร ตั้งใจเจริญฌานทั้งสี่ ฌานก็แปลว่าการเพ่ง เพ่งอะไร เพ่งอัสสาสะ ปัสสาสะ ลมหายใจเข้าออก มันสะอาด มันละเอียด หรือ มันสั้น มันยาว ถามตัวเองสิ ไม่ต้องไปถามคนอื่น
ตัวเองก็มีที่พึ่ง คือ จมูก ลมหายใจของเราเอง สืบต่อชีวิตอยู่ ทั้งๆที่รู้อยู่ ทำไมจึงไม่รู้ ทั้งๆที่เห็นอยู่ ทำไมจึงไม่เห็น จริงไหมก็ถามตัวเองสิ ไม่ต้องไปถามคนอื่นหรอก ว่าเอาจมูกหายใจหรือเปล่า หรือเอาอะไรหายใจ เอาตาหายใจเหรอ จมูกนี่แหละ เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ จมูกก็เป็นธรรม คือ ทำหน้าที่หายใจเข้าและออก เป็นธรรมได้ยังไง ก็จมูก ก็มาจากธาตุสี่ มหาภูต มันแก่ มันเจ็บ มันตายอยู่ หรือ ใครไม่เคยปวดจมูก ใครไม่เคยมีขี้มูก
ก็มีแต่ก้อนอสุภะ อสุภัง มันไหลออกทั้งนั้น มันเที่ยงซะที่ไหนล่ะ มันแก่ มันเจ็บ เห็นไหมล่ะ จมูกเรานี่แหล่ะ ดูให้มันชัดๆสิ สรณะ บอกว่าตัวเองปฏิบัติธรรม ปฏิบัติยังไง ขอให้มีสติดู ตาเราก็เป็นธรรม ทำหน้าที่ดู ก้นเราก็ทำหน้าที่นั่ง พิจารณาการนั่งสิ มันเจ็บ มันปวดไหม เดินมันก็เป็นธรรม เพราะขาทำหน้าที่เดิน เดินไม่หยุดสิ ถึงได้พาหมด ภาวนาดูสิ นั่งภาวนาถึงองค์พระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จะไปเอาที่ไหนล่ะธรรม เอาที่พึ่งที่ไหน โอ้ ที่พึ่งเหล่านี้ก็อยู่กับตัวเราเอง ที่แท้ตัวเรานี่แหล่ะ เป็นที่พึ่งอันสำคัญที่สุด เป็นเรือน เรือนแก้ว ก็คือ กายเรานี่ กายะรัตตะนัง กายเป็นแก้ว กายเป็นธรรม กายเป็นฟ่อนธาตุก็จริง แต่กายเป็นธรรม พระอรหันต์ขีณาสพ ก็มาจากมหาภูติ มาจากของสกปรกมิใช่เหรอ
พวกเราก็มาจากของสกปรก มาจากมหาภูติเหมือนกัน ทำไมไม่รู้หลักฐานอันนี้ ไม่ดูเรือนอันนี้ให้มันแน่นอน แล้วจะไปปฏิบัติธรรมที่ไหน ก็คือ ปฏิบัติตัวเราเอง ปฏิบัติกาย ปฏิบัติวาจา ปฏิบัติใจเรานี้ นี่แหละที่พึ่ง อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ถ้าตัวเราไม่พึ่งตัวเอง แล้วเราจะไปพึ่งใคร คนอื่นกินข้าว อิ่มท้องเราหรือ คนอื่นกินข้าว อิ่มท้องเราเหรอ เราเดินแทนเขา เราไปเช่าขาเขาเดินเหรอ ดูธรรมต้องดูตัวเองสิ ปฏิบัติตัวเอง เรือนตัวเอง เขาเรียกว่าเรือนกาย กายรัตนะ กายนี่เป็นแก้ว มีทุกสิ่งทุกอย่าง อยากได้สวรรค์ ก็ปฏิบัติกายสิ ให้เป็นสวรรค์ อยากไปพรหมโลก ปฏิบัติกายของตนให้เป็นพรหมขึ้นมาสิ อยากจะไปเข้าสู่นิพพานตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เดินเอาสิ ทำเอาสิ
พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้อยู่ ถ้าอยากจะได้มรรคผลนิพพาน ทำเอาสิ ตถาคตก็มาทำสำเร็จตอนมีชีวิตอยู่ จึงได้ประกาศพระพุทธศาสนา คำสอนออกมาจากกายอันนี้ เรือนกายอันนี้ กายที่เป็นที่พึ่ง กายเราจึงเป็นธรรม ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติลงตรงนี้ต่างหาก
รู้ว่าธาตุทั้งสี่เป็นก้อนธรรม ทำไมจึงปล่อยกายตัวเองให้เศร้าหมอง มีสติ คิดบ้างไหม แล้วก็ว่าพากันมาปฏิบัติธรรม ปฏิบัติจริงหรือเปล่า ที่ปฏิบัติจริงก็มี แต่ว่ามันก็น่าแปลกน่ะ คันที่ใบหน้า ไปเกาที่ท้ายทอยโน่นน่ะ เผลอๆก็หน้าแตกอีก คันที่หลังไปเกาที่เท้าโน่นน่ะ มันจะหายคันเหรอ มันหายคันไหม คันที่หลัง ไปเกาฝ่าเท้า มันหายคันไหม คันที่หลัง ก็เกาที่หลังสิ คันที่ใบหน้าไปจับที่ท้ายทอย วึ้ย มันคนละเรื่อง มันไม่สมกับนักปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมคือ ปฏิบัติกายเรานี่ มันเป็นหลักใหญ่ มันเป็นก้อนธาตุ ก้อนธรรมอันนี้ เป็นสรณะที่พึ่ง
พระสงฆ์ก็คือธาตุสี่ พระธรรมคือ กองสมมติ แห่งธาตุแห่งธรรม เป็นธรรมธาตุ เป็นธรรมชาติ ก็คือ ตัวเรานี้ หรือ ไปแบกเอาที่ไหน ไปเอาอะไรมาพิจารณากัน ถ้ากายเราสะอาด มันสะอาดจริงไหม ก็นั่งฟัง ท่านอาจารย์ถ้ำผาจมแสดงธรรม ฟังแล้วก็น่าคิด ถูกต้อง ใช่ พระพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติขึ้น เพื่อจะดูแลกาย เพื่อจะรักษากาย รักษาก็คือ วิรัติ แปลว่า การรักษา รักษากาย รักษาวาจา รักษาใจ
เมื่อเรารู้จักว่าธรรมธาตุอันนี้ ก็คือ ตัวตนสกลกาย สงฆ์รวมกันก็คือ ธาตุสี่ แล้วอยากจะรู้หรือเปล่าว่า พระพุทธอยู่ที่ไหน เห็นพระพุทธหรือยัง พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จริงไหม ในหนังสือ ในตำราน่ะ พุทธะก็คือ จิต , วิญญาณของเรานั่นแหละ เป็นนามธรรม จิตของเราตัวที่มีสติพรอมทั้งสัมปชัญญะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานก็คือ ตัวเรา รู้ว่าเกิดแล้ว รู้ว่าแก่แล้ว รู้ว่าทำประโยชน์แล้วในภพนี้ หรือ ยังไม่ได้ทำประโยชน์ ใจเราผู้รู้ไม่ใช่เหรอ รู้แล้ว เราปฏิบัติธรรม เห็นธรรม ก็คือ เห็นกาย รู้ว่ากาย ตื่นแล้ว ธรรมอยู่ตรงนี้เอง ปฏิบัติให้มันสะอาด ชำระมันก็อยู่ตรงนี้ อยู่ที่ตัวเรา เรียกว่า ปฏิบัติธรรม หรือ ไปหากันที่ไหน
พ่อพระ แม่พระ ถามหน่อย ไปหาธรรมที่ไหน เพื่อเข้าสู่มรรค ผล นิพพาน ปฏิบัติในธรรมธาตุอันนี้มิใช่หรือ ขาสอง แขนสอง ศรีษะหนึ่ง ไม่ใช่เหรอ เรือนแก้วอันนี้ พระพุทธเจ้าเห็นอันนี้ จึงวิรัติขึ้น จึงบัญญัติศีลห้า บัญญัติศีลแปด ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด เพื่อปฏิบัติธรรม ปฏิบัติตัวเรา และ เพื่อจะปฏิบัติสงฆ์ ตัวพุทธะคือ ตัวใจ โอ้ ก่อนที่เราจะมาอุบัติในโลกนี้ เราก็อาศัยพระสงฆ์ อาศัยพระธรรมเป็นสรณะหนอ เรามาอาศัยสรณะอยู่ ก็คือ มาถือธาตุขันธุ์ของพ่อและแม่เรา พ่อแม่เป็นคนให้สรณะสอง ให้สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ให้ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ จริงไหม แยกก้อนธาตุก้อนธรรม กองเหล่านี้ออก เป็นอาการสามสิบสอง แยกออกแล้ว นี่ ก็เต็มไปด้วยของสกปรกทั้งนั้นเลย อริยะสาวกทั้งหลายก็มาจากของสกปรกเหมือนกันกับเราหนอ
เราตถาคตเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มารู้ว่า อ๋อ! อันนี้คือ ก้อนธาตุ ก้อนธรรม นี้เป็นกัมมัฎฐาน ที่แท้ตัวตนมันเป็นของสกปรกทั้งนั้นเลย ตจปัญจกัมมัฎฐาน กัมมัฎฐานมีหนังเป็นที่ห้า หนังหุ้มห่อไว้เฉยๆ แหกดูข้างในดูสิ รถชนหมายตายคิดง่ายๆน่ะ เลือดไหลเซะอยู่ก็ยังมี มันตายน่ะ ก็เพราะหนังหุ้มห่ออยู่ แต่ถ้ามันไม่ได้เลือดไหลออกตามร่างกายที่มันโดนชนโดนอะไร โดนมีดฟัน มันก็ดูงามน่ะ แต่พอเห็นเลือด เห็นน้ำเหลืองไหลออกมาจากหนังมันดูสิ อีกเรื่องหนึ่ง แล้วดูตัวเราดูสิ ถ้าเป็นแผลเป็นอะไรขึ้นมา เจ็บปวดขึ้นมา หรือ เข้าหาหมอ หมอก็ผ่าตัด ก็จะเห็นว่า มันสกปรกไหม รอยแผลเย็บ น้ำเหลืองก็ไหลออก ซึมอยู่อย่างนั้นล่ะ ก็เห็นอยู่ เพราะหนังหุ้มห่อ
พระพุทธเจ้าสอนให้วิรัติ โอ้ ถ้าไม่มีเรือนกายอันนี้เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งแล้ว พ่อแม่ให้ที่พึ่งแล้ว เราผู้เป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะมาหลงอยู่เท่านี้เหรอ คนเราเนี่ย มันหลง มันมืดมน อย่างโดนของ “อวิชชา” วัฎฎะสงสารหมุนวนเวียนมาให้เราเกิดกี่ภพกี่ชาติกันแล้ว ถ้าจะถามหาสรณะ ตาก็เป็นสรณะ ตาธรรมที่พึ่ง สรณัง คัจฉามิ ที่พึ่งเรา คนอื่นเขาก็มีที่พึ่งในตาเหมือนกัน หูก็เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นธรรมเหมือนกัน เป็นก้อนธรรมเหมือนกัน จมูกก็เป็นที่พึ่งเป็นธรรม การรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย นี่แหล่ะ เขาเรียกว่า ศีล โอ้ เรามาอาศัยสิ่งนี้เหรอ เราจึงได้ตรัสรู้ รู้ของจริง มาเห็นแล้ว มันสกปรก จึงได้สละ สลัด ละ แล้วก็ปล่อยวาง ปล่อยวางยังไง ในอริยะมรรค หนทางอันเป็นพระอริยะ มีองค์แปดน่ะ
จริงไหม สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ในธัมมจักร ถูกต้องหรือไม่ มีองค์แปด ทางเดินน่ะ ทางเดินของพระอริยะ อริยะมรรค ระวังน่ะ ตัวกิเลส ตัวมาร มันก็ติดอยู่ในที่นั่นล่ะ อยู่ใกล้ๆกัน ถ้ามันมีอริยมรรค มันก็ต้องมีอบายมรรคอยู่ด้วย ระวังน่ะ สุข กับ ทุกข์ มันก็อยู่ด้วยกัน แยกกันไม่ออก กุศล กับ อกุศล ก็แยกกันไม่ออก บาปกับบุญก็แยกกันไม่ออก อริยมรรค กับ อบายมรรค ก็อยู่ทางเช่นเดียวกัน แล้วจะไปหาที่ไหนล่ะ อริยมรรคก็พระอริยะ ไม่ใช่เหรอ เดิน แล้วพวกฉันเนี่ย ไม่ได้บวชเลย ไม่ได้เป็นพระ ก็พระหมดตัวนั่นล่ะ ยังไม่รู้ตัวเองว่าเป็นพระเหรอ รู้ไหมว่าตัวเองเป็นพระ องค์พระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้ามองเห็นสิ่งนี้แหล่ะ จึงบัญญัติศีลห้า ศีลแปดขึ้น ให้วิรัติ ให้รักษาเรือนกาย ให้รักษาเรือนแก้ว เป็นพระคุณของบิดาและมารดาที่พระอรหันต์สองพระองค์ให้ พระสงฆ์ก็คือ มหาภูติสี่ พระมหาปฐพี พระมหานที พระมหาพระเพลิง แล้วก็พระมหาพระพาย พระมหาทั้งสี่ประชุมกัน จึงเป็นองค์สงฆ์ รวมกันจึงเป็นก้อนธาตุ เป็นฟอนธาตุ เป็นฟอนธรรม เป็นฟอนอายตนะ เป็นฟอนสมมติ คือ เรือนกายเรา
ถ้าหากไม่วิรัติ โอ้ เรานี่ อาศัยเรือนกายของพ่อ ของแม่ ให้มาหนอ เรามีที่พึ่งที่อาศัยแท้ๆ ทำไมจึงไม่ดูแล ไม่ปฏิบัติ ไม่รักษาเอา เราตรัสรู้อนุตรพระสัมมาสัมโพธิญาณก็มาตรัสรู้ พระสงฆ์แล้วก็พระธรรมอันเป็นสรณะ มาดูของจริงก็คือ กายนั่นเอง ไม่ใช่อื่นใด แล้วจะว่าตัวเองไม่เป็นพระได้ยังไง เพราะตัวเราก็เป็นพระอยู่แล้ว เกิดมาก็เกิดมาจากพระ ตัวเรามีแต่พระน่ะ ถ้าไม่เชื่อก็ ธรรมนี่ เป็นธรรมธาตุ เป็นกองสมมติ ถ้าไม่มีสมมติ จะไปเอาวิมุติมาจากไหนอีก พิจารณาเข้าไปสิ เส้นผมก็เป็นพระ พระเกศาใช่ไหม คิ้วก็พระโขนง ตาก็พระเนตร มีแต่พระ หูก็พระกรรณ จมูกก็พระนาสิก ปากก็พระโอษฐ์ใช่ไหม ฟันก็คือพระทนต์ ลิ้น คือ ชิวหา ใบหน้าก็พระพักตร์ คือ รวมหมดแล้วก็พระเศียร ข้างบน ยาวๆลงมาเรียกว่า พระศอ คอ หน้าอกก็พระอุรา
หัวใจก็พระหฤทัย แขนพระกร มือพระหัตถ์ จนถึงข้างล่างสุด ตีน ฝ่าเท้า เขาก็เรียกพระบาท แล้วตัวเรามีแต่พระ องค์พระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า มารู้ว่า กองสมมติเรานี้ มันเป็นของวิเศษอัศจรรย์หนอ แม่เราอยู่ไหนโว้ย ตรัสรู้แล้วโน่น แม่ไปอยู่ดาวดึงส์ สวรรค์ ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรรษานี้เราจะไม่จำพรรษา เราจะไปโปรดมารดาเราอยู่บนดาวดึงส์ อยู่บนสวรรค์ อันนี้ พูดตามภาษาบ้านเฮาน่ะ ข้าวเหนียวบ้าง ข้าวจ้าวบ้าง บ่เป็นหยังดอก ปนกัน
นึกถึงพระคุณของแม่ โอ้! ตั้งแต่กูมาถือเอาตั้งแต่กูอยู่ในท้อง แม่กูก็ถือกูมา ก็อุ้มกูมาหนอ ลำบากเหลือเกิ๊น แม่เรานี่ แม่เรามีความอด มีความทน กว่าเราจะได้เกิดมา นอนในท้องของแม่ตั้งสิบเดือน พระองค์มาน้อมนึกและคิดถึง ยังไงกูได้บรรลุแล้ว เพราะอะไร เพราะได้มองเห็นก้อนธาตุ ก้อนธรรม มองเห็นสังฆัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ตัวพุทธะคือ ตัวใจของพระองค์เอง จิต , วิญญาณ ที่เข้ามาถือสรณะสอง ธัมมัง และ สังฆัง มาพิจารณาธัมมัง และ สังฆัง ทีแรก จึงได้ตรัสรู้ ได้บรรลุ มารู้ของจริง จึงไปบัญญัติวิรัติขึ้น ให้วิรัติสิ คือ ศีลห้า เหมือนกับศีลข้อปาณา
ท่านอาจารย์ฯถ้ำผาจม ท่านก็พูด ปาณาติปาตา เวระมณีสิกขา ปะทังสมาทิยามิ เห็นไหม เวระมณี นั่นล่ะ คือ วิรัติ วิรัติให้รักษาสิ รักษาศีลข้อปาณา ไม่ให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ให้เบียดเบียน จริงไหม ศีลข้อปาณานั่นน่ะ เดี๋ยวจะพากันสงสัยอีก ปาณา ไม่ให้ฆ่าปลาที่อยู่นาใช่ไหม ปลาห้วยฆ่าได้จริงหรือเปล่าปู่ เอ่อ แม่น ก็ถือข้อง บอกคำนี่ล่ะว่า แน่วมักเว้ย
คำว่า ปาณา ปาณะ แปลว่า ตกไป ทำอะไรให้ตกไปล่ะ ทำชีวิตสัตว์ให้ตกไป สัตว์คือใคร ก็คือ ตัวตนนั่นล่ะ สัตว์ มนุสสา สัตว์ใจสูง ในสัตว์สิบสองจำพวก แม้แต่เทวดา ยังเป็นสัตว์ มนุสสา สัตว์ใจสูง วินิปาติกา สัตว์ใจต่ำ คือ พวกนรก พวกอบาย ฆ่า ฆ่าคนอื่น ถูกไหม ถูก ผิดไหม ผิด ผิดกับถูกเป็นของคู่กัน องคุลิมาลฆ่าคน อาจารย์ฯถ้ำผาจม ท่านเทศน์ให้ฟังมาแล้ว เอาของของท่านมาพูดให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง อันนี้ เณรน้อยอาศัยขโมยของคนอื่น เณรน้อย เก่งๆน่ะ
อย่าฆ่าตัวเอง เข้าใจไหม อหิงสกะ ฆ่าตัวเองซะเมื่อไหร่ แต่เป็นการเบียดเบียนคนอื่น รอบตัว ระวังน่ะ บุคคลใด ตัวเอง ถ้าคิดในสิ่งที่ไม่ดีขึ้นมาแล้ว เหมือนกับเนรคุณนะ รู้ว่าสิ่งที่ผิด ยังเอากาย ไปทำในสิ่งที่ผิดอยู่ ผิดนั้นก็ไม่อโหสิน่ะ เพราะร่างกาย คือ พระคุณของพ่อและแม่ แม้แต่พระสัพพัญญูยังไปเที่ยวโปรดมารดาอยู่บนสวรรค์ เพียงแต่ศีลข้อปาณาฯ ข้อเดียว ปฏิบัติแล้ว ถึงนิพพานน่ะ มันเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มาก อะไร รักษาศีลข้อปาณาข้อเดียว จะได้ไปนิพพานเหรอ สีเลนะสุคติงยันติ สีเลนะโภคะสัมปะทา สีเลนะนิพพุติง ยันติ ตัสสะมา สีลัง วิโสทะเย คือ ชำระใจตนให้บริสุทธิ์สิ องคุลิมาล ก็ชำระในศีลข้อปาณาฯข้อเดียว เห็นไหม ท่านสมณะหัวโล้น ด่าพระพุทธเจ้า เราต้องการนิ้วมือของท่าน ท่านเป็นพระผู้เสียสละไม่ใช่เหรอ ครั้งแรกว่าจะเอาชีวิตมารดา เห็นพระสมณโคดมมาใกล้ๆ ก็เลยปรี่เข้าหาพระพุทธเจ้าเลย ว่าพระพุทธเจ้าว่า ท่านหยุดสิ
ท่านสมณเราหยุดแล้ว วิ่งลงไปหาอีก ก็วิ่งลงไปไม่ทัน เพราะพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยากที่จะหยั่งถึง วิ่งจนเหนื่อย ท่านสมณหัวโล้น เราบอกให้ท่านหยุด ทำไมท่านถึงไม่หยุด เราหยุดแล้วอหิงสกะ หยุดทำไมถึงวิ่งอยู่ ท่านมุสาทำไม โน่นน่ะ เราไม่ได้กล่าวมุสา เราหยุดแล้ว ท่านหยุดอะไร หยุดแล้วซึ่งการฆ่า หยุดแล้วซึ่งการเบียดเบียนคนอื่น ไม่เหมือนเธอ เธอยังไม่หยุด เธอยังต้องการนิ้วมืออีกหนึ่งนิ้วไม่ใช่เหรอ เพื่อจะสำเร็จวิชาของตัวเอง คิดจะเบียดเบียนเรา คิดจะเบียดเบียนชีวิตคนอื่น เราหยุดแล้ว เราไม่ได้เบียดเบียนใครเลย อหิงสะ เราหยุดแล้วเธอสิไม่หยุด ยังคิดจะฆ่าเราเพื่อจะเอานิ้วมืออยู่ไม่ใช่เหรอ โอ้ ชะงักเลย ยกดาบอยู่
กูทำไมถึงไม่เคยได้ยินอาจารย์กูสอน ไม่เคยได้ยินพ่อแม่พูดคำเหล่านี้เลย ไปเรียนกับอาจารย์ทิสาปาโมกข์กับภรรยาของอาจารย์ทิสาปาโมกข์ ก็ไม่ได้สอนเรื่องหยุด การหยุดฆ่า หยุดแกงอันนี้เลย ทำไมกูถึงไม่รู้ ทำไมถึงไม่บอก ทำไมถึงบอกว่า ถ้าได้นิ้วมือถึงพันแล้วจะได้วิชาสำเร็จ วิชาล่องหนหายตัว สำเร็จวิชาทุกสิ่งอย่าง ทำไมถึงสอนไปอย่างนั้น เขาสงสัย แต่นี่สมณหัวโล้นมาสอนว่า เราหยุดแล้ว เราหยุดการฆ่า หยุดการเบียดเบียนไม่เหมือนเธอน่ะ เธอมีการฆ่า การเบียดเบียนชีวิตคนอื่นอยู่ ฟังดูสิ ศีลข้อปาณาเนี่ย อหิงสกะ หยุดเลย พอได้ยินคำนั้น มันกระตุ้นจิตใจให้กลับ จิตจึงว่าง พอจิตว่างแล้ว มีดที่อยู่ในมือ ดาบที่อยู่ในมือ ร่วงเลย
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทำไมคำพูดอันนี้ผมเพิ่งจะได้ยิน ผมเรียนมาจากอาจารย์ทิสาปาโมกข์ เรียนมาจากกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหกพระองค์ มีแต่กล่าวเรื่องกิน เรื่องอะไร สารพัดเรื่อง แต่ไม่เคยได้ยินว่า ฆ่าและเบียดเบียน นี่สิ ศีล ข้อ ปาณาฯ ขออุปสมบทเลย เวลาที่มีดหลุดมือ ได้ยินคำพูดคำนั้นน่ะ สติสัมปชัญญะ คืนมาเหมือนเดิมเลย จิตบริสุทธิ์ขึ้น ตั้งอยู่ในโสดาปติผล ก้มลงคลานเข้าไปกราบเลย ขออุปสมบท ขอนึกถึงพระพุทธ ขอนึกถึงพระโคดม พระโคตมเป็นสรณะ ขอนึกถึงคำสอนของพระโคตมที่เตือนให้ฉันได้สติ เป็นสรณะและขอถึงอริยะสาวก สงฆ์ ที่พระอริยะ เป็นสรณะที่พึ่ง ขออุปสมบทด้วย
ผู้เป็นแม่ได้ยินผู้เป็นลูกพูดว่า ขออุปสมบทกับพระพุทธเจ้า ดีใจ โอ้ย วิ่งมาถึง หอบแฮ่กๆเลย กราบแทบเท้าพระยุคลบาทขององค์พระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อหิงสกะนี่คือลูกของหม่อมฉัน อหิงสกะเขาต้องการอุปสมบท ขอพระองค์อนุญาตบวชให้เขาเถิด ฉันผู้เป็นแม่อนุญาตแล้ว จะบวชก็ต้องพ่อแม่อนุญาตถึงบวชได้น่ะ พระพุทธเจ้าก็มองเห็น เอ่อ จริง แม่เขาก็มาแล้ว และ ต้องการให้ลูกอุปสมบท ลูกก็ต้องการบวชจริงๆ พอพูดขึ้นคำเดียวเหมือนกัน เอหิภิกขุ เห็นไหม ผ้าที่นุ่งอยู่ กลายเป็นผ้าเหลืองเลย เกิดคิดในเวลาที่ว่า คาดคิด บารมีเก่า ตั้งแต่ครั้งก่อนโน้น ปุเรตชาติที่อหิงสกะสร้างสมมา เพียงแต่พระพุทธเจ้าประกาศว่า เอหิภิกขุเท่านั้น ผ้าเหลืองมาครอบเลยเห็นไหม บุญ ใครบอกว่าบุญเก่ามันหนี ใครบอกว่า ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ
ตาเป็นสรณะ ตาธรรม ตาเป็นธรรม ทำหน้าที่ดู ถ้าหากไปคนตาบอก เอ้ย ไอ้บอดเว้ย ไปฟังเทศน์เถอะเว้ยงานวัด โอ้ย! ไปก็ได้ยินเสียงอยู่ครับ ตาไม่เห็น ผู้ที่เห็นก็เป็นบุญตาอยู่ แต่ผมตาไม่เห็น ผมก็เลยไม่มีบุญตาไม่เห็น อ้าวคนตาบอดยังพูดว่า เห็นเป็นบุญไม่ใช่เหรอ แล้วจะไปหาที่ไหนดูล่ะทีนี้ เห็นหรือยังบุญทีนี้ ก็คือ ตาที่มองเห็นนั่นล่ะเป็นบุญ ขาเราที่เดินได้นั่นล่ะเป็นบุญ ไปถามคนป่วย เดินไม่ได้ ไปโรงพยาบาลดูสิ วันนี้จะเดินไปฟังเทศน์ วันนี้จะเดินไปทำบุญ เขาจะหล่อพระกัน ไปหรือเปล่า โอ้ย ฉันไปไม่ได้ ถ้าฉันเดินได้ ฉันก็อยากจะไป ผู้ที่เดินได้ก็เป็นบุญหนอ นี่ บอกขาเป็นบุญอีกแล้ว เห็นไหม จะไปหาบุญที่ไหน
ขาเราก็เป็นบุญ หูเราก็เป็นบุญ ตาเราก็เป็นบุญ จมูกเราก็เป็นบุญ สำหรับหายใจสืบต่ออยู่ ถ้าไม่มีลมหายใจ อัสสาสะ ปัสสาสะขาด ก็จะตายเท่านั้น พอจะฟังออกไหมที่ได้บุญ พอจะมองเห็นไหม หรือ นึกอาจจะสงสัยอีก เมื่อนคืนนี่ ฉันก็อยากจะมาทำครัว ทำอาหาร ถวายพระอยู่ ก็อาหารจะเป็นบุญหรือเปล่า อาหารมันเป็นวัตถุ บุญก็คือ เมื่อมรรค มันมีองค์แปด องค์แปดนั้น เป็นหนทางเดินที่บริสุทธิ์ จะเป็นข้าวปลา อาหาร แก้วแหวน เงินทองที่จะมาหล่อพระ เป็นวัตถุ เกี่ยวเนื่องมาจากองค์ประกอบสาม กาย วาจา และ ใจ
กายมันเป็นบุญยังไง กายเป็นทานไหม พูดเรื่องกายเป็นทานนี่ องค์พระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ถามภิกษุสงฆ์ ภิกษุ ภิกษุ บนท้องฟ้ามีดวงดาวเยอะไหม เยอะพระเจ้าข้า... (ภาษาอีสาน) เคยอ่านตำราพบไหมว่า เอาตาเขาออกเป็นทาน มากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า พวกเธอดูสิที่ป่าหิมพานต์มีมะพร้าวเยอะไหม เยอะพระเจ้าข้า เยอะกว่าศรีษะเราตถาคต ตัดออกเป็นทานบำเพ็ญพรต เมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ตรัสรู้ ฟังดูสิ แล้วพวกเรา องค์พระสัพพัญญูกระทำถึงขนาดนั้นมา อนันตยักษ์ต้องการซีกล่างก็ให้มาตัดเอาเลย แหกเอาครึ่ง ไม่เสียดาย เสือที่มันตกเหว มันหิวโหย โดดลงไปให้เสือกิน
ทานคือ การเสียสละน้ำใจ คือ คำว่า ทานคือ การเสียสละ แสดงน้ำใจออกไป จะทำกับข้าวพรุ่งนี้ ถ้าทำไม่อร่อย ก็ดีใจด้วยเด้อ น้ำลายไหลถ้าพูดเรื่องกิน เพราะกายเราทำ เราออกแรงทำไม่ใช่เหรอ ข้าวกว่ามันจะสุกก็ต้องหุง ต้องนึ่งไม่ใช่เหรอ มือเราทำไม่ใช่เหรอ กายแสดงออกไม่ใช่เหรอ
กายเป็นทาน เห็นไหม การแสดงออกจากกาย กายที่แสดงออกการเสียสละออกมา คือ การหุงข้าวเพื่อจะถวายทาน กายจึงเป็นทาย กายเป็นศีล กายบริสุทธิ์ กายสะอาดแล้ว จึงเป็นศีล เพราะร่างกายเรานี่เอง เมื่อกายสะอาด กายเป็นศีล กายก็เป็นญาณ ญาณทรรศนะที่เห็นแล้วเป็นความจริง บริสุทธิ์แล้ว ว่ากายของเรานี่ เต็มไปด้วยรัตนะ เต็มไปด้วยแก้ว ของสะอาด มันสกปรกก็จริง แต่มันก็สะอาด ถ้ามันไม่อาศัยของสกปรกมันจะสะอาดได้เหรอ
ถ้าไม่มีกองสมมมติ จะไปเอาวิมุติมาจากไหน ก็อยู่ที่ตัวเรานี่ พูดให้เห็นน่ะ ภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตสั่งสอน เพื่อให้ผู้ฟัง รู้ยิ่งเห็นจริงในธรรม ที่ควรรู้ ควรเห็น เรารู้แล้ว เราเห็นแล้ว เราจึงมาประกาศ เราจึงบอก เราจึงกล่าวให้กับมนุษย์เป็นผู้สดัลรับฟัง ผู้ปฏิบัติ เราสั่งสอนเพื่อให้ผู้ฟัง รู้ยิ่งเห็นจริง ในธรรมที่ควรรรู้ ควรเห็น ธรรมก็คือ ตัวตนสกลกาย ปฏิบัติกายสะอาด ปฏิบัติให้มันบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ขึ้นสิ เสียสละไปสิ เสียสะยังไงล่ะ จะเดินเหรอ ก็ว่าปวดแข้ง ปวดขา ขี้เกียจเดิน จะว่าได้มรรคผลนิพพานตรงๆ ก็ไม่ได้ทำ จะว่านั่งสมาธิ พอนั่งไปปั๊บ ปวดขา ปวดแข้งหน่อย อู้ย ขากูบ่สิหักโว้ย เจ็บหลาย ไม่ว่าหรอก ถูกต้อง ไม่ใช่นั่งให้ตัวแข็งเหมือนกับตอไม้ซะเมื่อไหร่ รู้สึกว่าปวดก็เปลี่ยนอิริยาบถสิ ยืน เดิน หรือ นั่ง หรือ นอน ก็บอกไว้แล้ว แสดงธรรมต่อมา มันเกี่ยวเนื่องอยู่นี่หมด ในโลกอันนี้ เอสะกับปัจจุบัน โลกัง จงมาดูโลกนี้ โลกก็คือ สกลกาย ขาสอง แขนสอง ศรีษะหนึ่ง มาดูโลก ดูตัวเรานี่ ดูกันทุกคนน่ะ เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ
ทำไมถึงอยากจะเห็นธรรมเห็นวินัย ธรรมก็คือ ตัวธรรมชาติ ธรรมชาติ มันคือความเป็นจริง เป็นมีทุกขัง อนัตตา มันไม่เสมอไป มันจะเสื่อมสูญสลายไป ผสมเข้ากันก็เสื่อมสูญสลายไป วินัยล่ะ วินัยแปลว่าระเบียบ แปลว่ากฎ กฎระเบียบ ระเบียบอะไร ก้อนธาตุ ก้อนธรรม ก็คือ ตัวเราโลกอันนี้ คือ ตัวเรา แล้ววินัยอยู่ที่ไหน ถ้าตัวเป็นธรรม วินัยแปลว่า ระเบียบ หูก็อยู่สองข้าง ตาก็อยู่ตรงกลาง จมูกก็อยู่ตรงกลางนี่อีก อยู่ตรงกลางตา มีรู้จมูกสองรู ใต้จมูก ลงมาก็เป็นปาก ใต้ปากมันก็เป็นคาง คางก็เป็นคอ มันอยู่เป็นระเบียบกันเห็นไหม แขนก็อยู่สองข้าง หูก็อยู่สองข้าง จริงไหม ขาก็มีสองขา นี่เขาเรียกว่า ระเบียบวินัย จะไปหาวินัยที่ไหน วินัยก็อยู่กับธรรม ธรรมก็อยู่กับพระวินัย พอจะเข้าใจไหม
ไม่ใช่ไปวิ่งหาธรรม วิ่งหาวินัย วิ่งหาที่พึ่ง อะไรพุทธัง เป็นที่พึ่ง อะไรธัมมัง เป็นที่พึ่ง อะไรสังฆัง เป็นที่พึ่ง อะไรเป็นบุญ บอกแล้วน่ะ อย่ามาพูดศีลข้อเดียว ข้อที่สองก็พากันแปลเอา อะทินนาทานา ก็สวดได้อยู่ไม่ใช่เหรอ อนันตลักขณสูตร พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ถือเอาไม่ใช่เหรอ จะมาถือเอาตัวตนได้อย่างไร อย่ามาถือน่ะ ศีลข้อที่สอง คือ ตัวอะไรล่ะ คือ อนันตลักขณสูตร รูปอนิจจัง รูปทุกขัง รูปอนัตตา ขันธุ์ห้าไม่เที่ยง ขันธุ์ห้าเป็นทุกข์ ขันธ์ห้าไม่มีตัวไม่มีตน จะถือเอาไม่ได้ นั่นล่ะศีลข้อที่สอง
ศีลข้อที่สาม คือ การส้องเสพ แม้แต่พระ พระพุทธเจ้าก็ยังบัญญัติว่า ศีลสี่ข้อ เสพเมถุนหนึ่ง ลักของเขาหนึ่ง ฆ่าสัตว์หนึ่ง พูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตนหนึ่ง การส้องเสพไม่ใช่อื่นไกล ตาก็เสพกับรูป หูก็เสพกับเสียง จมูกก็เสพกับกลิ่น ลิ้นก็เสพกับรส กายก็เสพกับโผฎฐัพพะร้อนหนาว นั่นล่ะ ศีลข้อกาเมฯ พากันไปหลงใหล เพลิดเพลินอยู่อย่างนั้น หลงรูป หลงเสียง หลงรส หลงโผฎฐัพพะ เวียนว่ายตายเกิดมากี่ภพกี่ชาติแล้ว ก็เพราะมันหลงสิ่งเหล่านี้ หลงอารมณ์เหล่านี้ นั่นล่ะการส้องเสพศีลข้อที่สาม นี่พูดมากแล้วน่ะ เหนื่อยแล้ว เอวังด้วยประการฉะนี้ (สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิคะ) - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี