เมื่อเร็วๆ นี้ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “ยุคโควิด 19 ดูอย่างไร ข่าวไหนจริงข่าวไหนปลอม” โดย ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงข่าวปลอม (Fake News) ยังแบ่งได้อีกหลายระดับ ตั้งแต่ข้อมูลที่จริงบ้างไม่จริงบ้าง ข้อมูลที่ถูกบิดเบือน ไปจนถึงข้อมูลที่จงใจใส่ร้ายป้ายสีทำให้เสียหาย อีกทั้งข่าวปลอมยังเชื่อมโยงกับการใช้ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) และการรังแกหรือระรานทางออนไลน์ (Cyber Bullying) ด้วย
“กองทุนฯ ย้ำเสมอว่าเราทำงานนี้หน่วยงานเดียวไม่ได้เลย เป็นความร่วมมือของหลายฝ่ายและต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทำซ้ำๆ ทำบ่อยๆ โคแฟคเองก็พยายามย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า Fact ที่มันเป็นข้อเท็จจริง ที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงสูงสุดของมนุษย์มีหลายมุม ฉะนั้น มองต่างมุมก็เห็นต่างกัน ทำอย่างไรที่เราจะมีความจริงร่วมที่ยอมรับกันได้ทุกฝ่าย ชัวร์ก่อนแชร์เองก็พยายามที่จะมาตรวจสอบ มีคู่มือด้วย ชัวร์ก่อนแชร์ก็ลงทุนไปทำคู่มือตั้งแต่ต้นตอ แหล่งกำเนิดมาอย่างไร แล้วมาเป็นองค์ประกอบคู่มือความรู้” ธนกร กล่าว
พีรพล อนุตรโสตถิ์ ผู้ดำเนินรายการชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทยอสมท. ยกตัวอย่างข่าวปลอม กรณีมีการแชร์ข้อมูลอ้างว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่าโควิดเป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดหนึ่งและไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีน และ ซึ่งนอกจากข้อความแล้วยังมีคลิปวีดีโอ เรื่องนี้หลายคนที่เข้าไปดูก็คงไม่เชื่อว่าเป็นข่าวจริง เพราะเว็บไซต์ต้นทางที่เผยแพร่ข้อมูลนี้ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือ แต่อีกหลายคนอาจจะเชื่อเพราะเห็นว่ามีคลิปวีดีโอประกอบกับขั้นตอนการตรวจสอบอาจจะยุ่งยากซับซ้อน
เช่น ต้องไปค้นข่าวว่าองค์การอนามัยโลกเคยประกาศเรื่องนี้จริงหรือไม่ เป็นต้น
สำหรับวิธีระมัดระวังไม่ตกเป็นผู้หลงเชื่อและส่งต่อข่าวปลอม แนะนำให้ตั้ง 5 คำถาม 1.จริงไหม? เพื่อเป็นการเบรกความคิดตนเองไว้ก่อน จะได้ยังไม่ต้องรีบส่งต่อข้อมูลนั้นให้ผู้อื่น 2.เก่าไหม? เพราะบางเรื่องนั้น “เคยจริง” ในช่วงเวลาหนึ่ง ดังจะเห็นข่าวหลายข่าวที่พบว่าเรื่องนั้นเคยเป็นข่าวจริงในอดีต แต่เมื่อนำมาแชร์ต่อในปัจจุบันแล้วไม่ได้ระบุวัน-เวลาไว้ก็กลายเป็นข่าวปลอมได้เช่นกัน 3.เกี่ยวไหม? บางข่าวมีความพยายามเชื่อมโยง เช่น ข่าวมีคนไปฉีดวัคซีนแล้วล้มลง หลายครั้งพบการแชร์แล้วบรรยายว่าเป็นผลมาจากวัคซีน
4.ครบถ้วนไหม? เพราะการนำเสนอข้อมูลนั้นสามารถเลือกนำเสนอเป็นบางแง่มุมได้ เช่น กลุ่มต่อต้านการฉีดวัคซีนย่อมไม่นำเสนอด้านดีของวัคซีนแต่จะมุ่งเน้นนำเสนอเฉพาะด้านลบของวัคซีน ดังนั้น ควรตระหนักว่าสิ่งที่เห็นบนโลกออนไลน์ ข้อมูลจำนวนมากอาจไม่ได้แปลว่าเรื่องนั้นเป็นความจริงเสมอไป และ 5.อคติไหม? เพราะข้อมูลจะมีเรื่องของความคิดเห็นด้วย แต่ข้อนี้อาจจะดูยากพอสมควร
“เทคนิคของคนที่ทำข่าวปลอมเขาจะมี 5 เทคนิค ที่ทำให้เรื่องที่ไม่จริงมันดูจริงในทางวิทยาศาสตร์ 1.สร้างผู้เชี่ยวชาญปลอมๆ ขึ้นมา (Fake Experts) 2.สร้างตรรกะที่ไม่ค่อยจะถูกต้องขึ้นมา (Logical Fallcies) 3.เรียกร้องความคาดหวังที่มันเป็นไปไม่ได้ (Impossible Expectations) เช่น ถ้าบอกว่าวัคซีนไม่มีปัญหาคุณกล้ารับประกันไหม? ก็จะไม่มีคุณหมอที่ได้มาตรฐานคนไหนออกมารับประกันอยู่แล้ว 4.เลือกแต่สิ่งที่ชอบมานำเสนอ (Cherry Picking) และ 5.ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory)” พีรพล ระบุ
สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้ง (โคแฟค ประเทศไทย) (COFACT Thailand) และอดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวถึง ลักษณะของแพลตฟอร์มออนไลน์ที่แตกต่างกันซึ่งส่งผลต่อการระงับยับยั้งการส่งต่อข่าวปลอม เช่น ทวิตเตอร์ ใครโพสต์อะไรที่ไม่ถูกต้องแค่ไม่กี่นาทีเดี๋ยวก็มีคนเข้ามาแย้งซึ่งใครจะเชื่ออย่างไรนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต่างจาก ไลน์ ที่ข้อมูลจะถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ แม้จะมีคนรู้ว่าข้อมูลนั้นผิดแน่ๆ แต่อาจไม่แย้งเพราะเกรงใจว่าคนส่งเป็นหัวหน้างานหรือญาติผู้ใหญ่
ดังนั้น วิธีการแก้ไขจึงต้องขึ้นอยู่กับธรรมชาติของแต่ละแพลตฟอร์ม ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐก็ต้องสร้างความเชื่อมั่น
ในข้อมูลข่าวสารของรัฐด้วย โดยเฉพาะ “การเข้าถึงข้อมูลเปิด (Open Data)” ในต่างประเทศภาครัฐจะจัดทำเว็บไซต์กลางรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ให้สื่อมวลชนหรือประชาชนเข้าไปค้นหาได้ อาทิ เรื่องโควิดและวัคซีน แต่ในประเทศไทยเชื่อว่าหลายคนจะหาข้อมูลจากแหล่งที่ต่างกัน เช่น ศบค. ชัวร์ก่อนแชร์ ThaiPBS โรงพยาบาลเอกชน ฯลฯ ซึ่งไม่ควรจะเป็นแบบนั้น
“วิกฤตของข้อมูลข่าวสารจริงๆ คือเรื่องความเชื่อมั่น อันนี้ไม่วิจารณ์แต่ภาครัฐ สื่อเองยุคนี้ก็ถูกวิจารณ์เหมือนกัน มีวิกฤตศรัทธาว่าจะเชื่อใครได้บ้าง มันก็ทำให้ทุกกลไกมีวิกฤตศรัทธา แม้แต่คุณหมอ กลุ่ม Expert (ผู้เชี่ยวชาญ) ก็ถูกวิกฤตศรัทธา กลุ่ม NGO (องค์กรพัฒนาเอกชน-ประชาสังคม) ก็ถูกวิกฤตศรัทธา เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้มันเป็นปัญหาเชิงสังคมที่จะต้องฟื้นฟู คือทุกคนต้องกลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง” สุภิญญา กล่าว
สุภิญญา ยังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว “ต้องสร้างบรรยากาศแห่งการถ่วงดุล” เพราะไม่มีใครถูกทั้งหมด แม้แต่เรื่องวัคซีนเพราะยังเป็นเรื่องใหม่ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังโต้แย้งกันเอง สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรจะมีพื้นที่ที่นำเสนอข้อเท็จจริงที่แตกต่างทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์ ในเชิงผลกระทบ สำหรับให้ประชาชนค่อยๆ ใช้ ฝึกฝน เพราะสุดท้ายประชาชนเป็นคนตัดสินใจเองว่าเขาจะเป็นอย่างไร “ต้องฝึกให้ยอมรับความจริง” หมายถึงความจริงที่เป็นเหตุเป็นผลตามตรรกะ หลักวิทยาศาสตร์ หรือความจริงที่มองเห็นเป็นประจักษ์ นำเสนอออกมาแล้วให้ผู้คนเปรียบเทียบใช้ดุลพินิจ จึงจะเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
นารากร ติยายน ผู้ประกาศข่าวและสื่อมวลชนอาวุโส ให้ความเห็นว่า สื่อมวลชนเวลานำเสนอข่าวสิ่งหนึ่งที่ทำคือ “พาดหัวให้โดนใจ” โดยเฉพาะยุคออนไลน์ที่ต้องทำให้เห็นแล้วอยากกดเข้าไปอ่าน มีการตัดคำและสรุปความให้สั้น ซึ่งมีผลกระทบคือ “คนที่อ่านแต่พาดหัวไม่ได้เข้าไปอ่านเนื้อข่าวอาจสรุปความไปเองเป็นอีกแบบเสียแล้ว” ลักษณะนี้ไม่ใช่ข่าวปลอม (Fake News) แต่เป็นข่าวที่ทำให้คนเข้าใจผิดอย่างไม่ตั้งใจ (False News)
“เรื่องวัคซีนเราสื่อสารกันผิดมันทำให้เกิดผลเสีย ได้คุยกับพี่สาวที่อยู่เชียงใหม่ พี่สาวบอกว่าปัญหาหนึ่งของตลาดเมืองใหม่ กาดเมืองใหม่ หรือปัญหาหนึ่งของคลัสเตอร์เชียงใหม่ ก็คือว่าคนส่วนใหญ่เขายังไม่อยากฉีดวัคซีน มันมีคนที่บอกว่าฉันไม่ไปไหนเพราะฉันไม่อยากฉีดวัคซีน แต่คนในบ้านเขาไปทำงานกัน กลับมาก็ติดเชื้อกันในบ้าน ถามว่าทำไมไม่ฉีดวัคซีน? เพราะการรับข่าวสาร การรับข่าวสารที่มันสะสมมาเกือบปี มันก็เลยทำให้เป็น False News เป็นข่าวที่ผิด เราก็ต้องยอมรับว่าการพาดหัวข่าว การทำให้ข่าวน่าสนใจ การที่ให้มียอดไลค์ยอดแชร์ ต้องยอมรับว่าสื่อก็มีส่วนมากเหมือนกันในเรื่องของการสื่อสารในช่วงโควิด” นารากร ยกตัวอย่าง
พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ รองโฆษก ศบค. เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาศบค. ต้องชี้แจงโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ข่าวผิดแบบไม่ตั้งใจ (Misinformation) กลุ่มนี้ไม่มีเจตนา เพียงแต่ด้วยความที่ทุกคนสามารถสื่อสารได้เพราะต่างก็มีกล้องโทรศัพท์มือถือในมือ ไปเห็นอะไรมาก็ถ่ายรูป-ถ่ายวีดีโอ แล้วโพสต์ลงสื่อออนไลน์โดยไม่ได้ตรวจสอบก่อนจะมารู้ในภายหลังว่าสิ่งที่โพสต์ไปเป็นความเข้าใจผิด 2.ข่าวผิดแบบตั้งใจ (Disinformation) กลุ่มนี้ประสงค์ให้เกิดข่าวผิดๆ ขึ้น แต่กลุ่มนี้
จะมีไม่มากนัก
และ 3.ข่าวรั่ว (Malinformation) คือเป็นข่าวจริงแต่ยังไม่ถูกแต่งโฉมให้เรียบร้อยก่อนเผยแพร่ เช่น คนคนหนึ่งสุขภาพดีแต่แพทย์ตรวจเจอป่วยเป็นโรคร้าย ซึ่งแพทย์นั้นไม่ได้จะโกหกคนไข้แต่กำลังคิดอยู่ว่าจะบอกคนไข้อย่างไรดี สถานการณ์โควิดก็เช่นกัน อาทิ ศบค. ประชุมกันอยู่เรื่องสถานการณ์เตียงตึงตัว ซึ่งในที่ประชุมกำลังทบทวนกันว่ามีเตียงกี่ประเภท อยู่ที่ใดบ้าง และจะมีแผนรองรับอย่างไร แต่ ศบค.ยังไม่ทันแถลงก็มีสื่อเสนอข่าวไปก่อนแล้ว
“การออกไปโดยที่ไม่ได้มีข้อมูลที่ครบถ้วน ไม่ได้มีข้อเท็จจริงที่รอบด้านให้ประชาชนเข้าใจว่าในสถานการณ์ที่ยากนั้นยังมีทางออก 1-2-3-4 มันกลายเป็นข่าวร้าย แล้วกลายเป็นว่าทำไมหน่วยงานภาครัฐ 2 หน่วยพูดไม่ตรงกัน ทีนี้ถ้าเห็นการทำงานของ ศบค. จะทราบว่าตั้งแต่ ผอ.ศบค. ท่านที่แล้ว พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ท่านจะเป็นคนที่ย้ำในที่ประชุมเสมอเลยว่า ศบค. เป็นหน่วยงานที่ต้องฟังความรอบด้าน
เช่น สมมุติสาธารณสุขรายงานว่าอาทิตย์นี้การติดเชื้อธนาคารเยอะมาก ธนาคารในห้างทั้งนั้น สาธารณสุขจะเสนอมาตรการเลยว่าจำเป็นต้องประกาศปิดธนาคาร สิ่งที่เกิดขึ้น สมมุตินั่นเป็นเวลา 9 โมงเช้า ศบค. จะต้องหารือก่อนว่าถ้าปิด สาธารณสุขเสนอให้ปิดเพราะเอามาตรการป้องกันควบคุมโรคเป็นปัจจัยหลัก ท่านก็จะต้องถามก่อนทางเศรษฐกิจว่าอย่างไร? ทางกระทรวงการต่างประเทศทำได้ไหม?
หรือพอหน่วยงานภาคส่วนกลางเห็นชอบตรงกันแล้วก็ยังต้องถามพื้นที่อีกว่าแล้วถ้าประกาศแบบนี้ เพชรบูรณ์ว่าอย่างไร? สมุทรสงคราม สมุทรสาครทำได้ไหม? อันนี้คือลักษณะการทำงาน แต่พอมีการให้ข้อมูลที่ยังไม่ได้ตกผลึกกันเบ็ดเสร็จ หลายครั้งคนก็เลยจะเห็นว่าทำไม กทม. ประกาศแบบนี้ ขณะที่ ศบค. ออกมาแย้งว่าอันนี้เป็นการที่ กทม. เสนอ แต่ต้องนำเข้าที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ก่อน ตรงนี้ประชาชนสับสนทันที แต่ว่ามันเห็นที่มาที่ไปเหมือนกันว่าไม่ได้เป็นเจตนาที่จะบิดเบือน” รองโฆษก ศบค. ระบุ
พญ.อภิสมัย ยังอธิบายเพิ่มเติมในฐานะมีวิชาชีพเป็นจิตแพทย์ว่า “ภาวะสุขภาพจิตมีผลต่อวิจารณญาณในการตัดสินใจเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสาร” ซึ่งองค์การอนามัยโลก รายงานว่า “สถานการณ์โควิด ทำให้คนทั่วโลกเผชิญปัญหาสุขภาพจิต” เริ่มจาก “ช่วงแรกๆ ที่เกิดโรคระบาดผู้คนจะมีแต่ความกลัว” เช่น กลัวติดเชื้อ กลัวว่าติดแล้วจะตาย กลัวเครื่องอุปโภค-บริโภคขาดตลาด “จากนั้นในระยะต่อมาเกิดภาวะที่เรียกว่า ความเหนื่อยล้าจากสถานการณ์โรคระบาด (Pandemic Fatigue)” ระยะนี้ผู้คนจะมีอาการกินไม่ได้-นอนไม่หลับ อารมณ์เกรี้ยวกราดฉุนเฉียว ซึ่งภาวะที่เกิดขึ้นนี้ทำให้วิจารณญาณการตัดสินใจ ความรอบคอบที่คนคนหนึ่งเคยเป็นบกพร่องได้
“เจอข่าวอะไรมา ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่เขายังสบายดีเขาอาจจะเป็นพี่ที่คอยเตือนเราด้วยซ้ำว่าน้องใจเย็นๆ นะอย่าเพิ่งตัดสิน ตอนนี้กลายเป็นเราเห็นอาจารย์ผู้ใหญ่โพสต์ลงเฟซบุ๊คเราเห็น Hate Speech (ถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง) ในบุคคลที่เราคาดไม่ถึงว่าท่านเป็นที่เคารพขนาดนี้ จะเรียกว่ามันเป็นภาวะ Stress (ความเครียด) ก็ได้ Term (ศัพท์) ขององค์การอนามัยโลกเข้าเรียกว่า Distress (เป็นทุกข์-กลัดกลุ้ม) คือความจิตมันผิดปกติ ถึงขั้นเรียกว่าเสียสติก็ได้
เราก็ต้องยอมรับกันไม่ต้องอาย ปีนี้เราเสียสภาพไปเยอะ ฉะนั้นการที่บางทีเรารับรู้ข้อมูลมาแล้วเราไม่ได้ระมัดระวัง เรานอนไม่หลับ กินไมได้ กินเยอะขึ้น เราเหวี่ยงวีนมากขึ้น การทำงาน สมาธิ การจดจ่อ การตัดสินใจเราเสีย เราไม่รู้ตัว ตกเป็นกับดักง่ายมากที่เราจะเป็นเหยื่อข่าวพวกนี้ แล้วก็ตกเป็นเครื่องมือที่ถ้าไม่รู้ตัว เราเองก็จะกลายเป็นคนที่นำเสนอข่าวปลอมพวกนี้โดยแชร์ไปเรื่อยๆ” พญ.อภิสมัย กล่าว
สันติภาพ เพิ่มมงคลทรัพย์ รองผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้าน ชข่าวปลอม ประเทศไทย กล่าวว่า การทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ จะเป็นการไปถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงว่าเรื่องที่แชร์กันบนโลกออนไลน์เป็นจริงหรือเท็จ และหน่วยงานนั้นจะเป็นผู้ชี้แจงกลับมา และหากเป็นบุคคลก็จะต้องเป็นคนที่หน่วยงานนั้นมอบหมายให้เป็นผู้ชี้แจง ซึ่งการที่ข่าวปลอมส่วนใหญ่เป็นเรื่องสุขภาพ การพิสูจน์จึงทำได้ง่ายด้วยผลทางวิทยาศาสตร์
เช่น ความเชื่อที่ว่าเมื่อเกิดอาการท้องร่วง-ท้องเสีย ให้ดื่มน้ำอัดลมบางยี่ห้อผสมกับเกลือ แต่ความเป็นจริงคือทำแล้วจะทำให้ท้องอืดและวิธีที่ถูกต้องควรดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ เป็นต้น อีกทั้งต้องระบุวันที่ชี้แจงด้วย เพราะข่าวที่เป็นจริงในปัจจุบันข้อมูลในอนาคตอาจไม่จริงแล้วก็ได้ เช่น เชื้อโควิดที่ในเวลาต่อมามีการกลายพันธุ์ทำให้ข้อมูลที่ใช้อยู่ต้องเปลี่ยนไป อนึ่ง การทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ จะมีทั้งเชิงรับคือมีผู้ส่งข้อมูลเข้ามาสอบถาม กับเชิงรุกโดยมีเทคโนโลยีตรวจสอบว่าแต่ละวันมีเรื่องใดถูกแชร์กันมาก หากพบข้อสงสัยก็จะนำไปสอบถามผู้เกี่ยวข้อง
“ต้องเข้าใจก่อนว่าเวลาคนเราหลงเชื่อข่าวปลอมหรือว่าอะไร มันเกิดจากประสบการณ์แล้วก็ทัศนคติด้วย หมายความว่าอย่างไร? สมมุตินะเราไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับโควิดเลย แล้วก็เราก็ได้ยินว่าน่ากลัวนะ ลงปอดถึงแก่ชีวิตนะ เรามีแนวโน้มที่จะเชื่อแล้วระมัดระวังกับโควิดมากกว่า ประสบการณ์เราเรื่องนี้น้อย ในช่วงแรกจะมีข่าวโควิดติดง่ายกระจายเร็ว ก็จะเป็นอะไรประเภทนี้
ส่วนอคติก็คือว่าคนที่เราฟังหรือเชื่อเป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือยกตัวอย่างผมทำงานอย่างนี้ ผมเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ เวลาผมพูดก็อาจจะดูน่าเชื่อถือกว่า หรืออาจจะเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพ เขาอาจจะเป็นการเอามาแชร์ต่อในเฟซบุ๊คของเขา เราก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อมากกว่า อันนี้ก็จะทำให้ช่วงแรกๆ หมอก็มีอยู่หลายหมอ หมอแต่ละคนก็เรียนคนละที่กัน อาจจะมีความเชื่อไม่ตรงกันบ้าง แต่ละคนก็จะออกมาพูดนู่นนี่นั่น แล้วก็จะเกิดความเข้าใจผิด” สันติภาพ กล่าว
รอง ผอ.ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ฝากทิ้งท้ายว่า ทั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ชัวร์ก่อนแชร์ โคแฟคฯ เป็นการทำงานปลายทาง คือมีข่าวปลอมเกิดแล้วหน่วยงานเหล่านี้มาตามชี้แจงแก้ไข ซึ่งต้นทางคือการให้ความรู้กับผู้คน สอนให้ใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้อง ให้พบเห็นข้อมูลข่าวสารต่างๆ แล้วยังไม่เชื่อในทันที เพราะการที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปแต่คนยังไม่มีภูมิต้านทาน ยังไม่สามารถปรับตัวให้ตามเทคโนโลยีได้ทัน ปัญหาย่อมตามมาแน่นอน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี