ท่านพระครูมงคลญาณโสภณ หรือ พระอาจารย์บุญทวี สีตจิตฺโต เจ้าอาวาส วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย เมตตาเทศนาธรรมโปรดญาติโยม ณ เรือนรับรอง “ธนสถิตกุล” วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ในหัวข้อ “คนหลักค้าใกล้ คนใบ้ค้าไกล”
(สำหรับวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย เป็นวัดที่พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ หรือ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เคยจาริกธุดงค์และจำพรรษา รวมทั้งเป็นสถานที่จัดงานพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่เทสก์ ซึ่งวันที่ 17 เดือนธันวาคมของทุกปี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้แทนพระองค์นำแจกันดอกไม้วางหน้าพระอัฐิหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ณ วัดหินหมากเป้ง)
วันนี้จะพูดถึงเรื่องที่ คนอยู่วัดที่วัดหินหมากเป้ง โยมที่ดูแลหลวงปู่ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) ทำอาหารหวานคาว อาหารว่างให้หลวงปู่ คอยหาหยูกหายามา คือ อยู่นาน อยากจะไปเที่ยว อยากจะออกจากวัดบ้าง แต่ไม่ได้บอกว่าไปเที่ยว เลยกราบหลวงปู่แล้วบอกว่า โยมก็อยากจะไปวิเวก ไปเที่ยวใช้คำว่า "วิเวก" ด้วยน่ะ ไปวิเวกต่างสถานที่หน่อย ว่างั้น หลวงปู่ท่านก็ว่าไงรู้ไหมว่า เออ คนหลักคาใกล้ คนใบ้ค้าไกลเน๊าะ ว่างั้น ท่านก็ไม่ได้บอก และไม่ได้อธิบายเลยน่ะ แค่นี้แหละโยมเขาก็ออกไปก็ฟังไม่รู้เรื่อง อาตมาก็นั่งอยู่กับหลวงปู่ พออาตมาออกมา เขาก็วิ่งดักอาตมาเลยน่ะ ครูบา ครูบา ท่านอาจารย์ฯเขาก็ใช้คำว่าอาจารย์เลยน่ะ อายุก็เป็นลูกศิษย์เก่าแก่ว่างั้นเถอะ ท่านอาจารย์ว่าอะไรโยม ว่าอะไร หลวงปู่บอกว่า คนหลักค้าใกล้ คนใบ้ค้าไกล ท่านหมายถึงว่า คนฉลาดหลักแหลม ค้าขายอะไรก็ที่ใกล้ๆตัวนั่นล่ะ ขายอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด มองอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด คนฉลาดหลักแหลม อีกอันหนึ่งก็คือ คนใบ้น่ะหน่าค้าไกล ก็หมายถึงว่า ไปหาที่ไกล ไปหาเงินหาทองนั่นน่ะ อันนี้เป็นคำทับศัพท์ก็หมายถึงอันนี้
แต่ถ้าเป็นธรรมาธิษฐานก็คือโยมจะไปหาธรรมที่ไหน สถานที่ก็เงียบสงัดน่ะวัดหินหมากเป้งน่ะ แล้วสมัยก่อนด้วยน่ะ ก็จะเงียบ สงัดเลยว่างั้นเถอะ และคำว่า "ค้าใกล้" ก็คือตัวเรานั่นน่ะ ธรรมะจะไปหาที่ไหนอีก ใจกับกายของเรา เราเข้าใจ เรารู้ เราเห็นแล้วเหรอ ว่างั้นเถอะ อันนี้ความหมายที่อาตมาแปลให้เขาฟังน่ะ ที่นี้อาตมาสังเกตก็ถามเค้าน่ะ อาตมาถามว่า ความสุขที่คนเราปัจจุบันนี้ มันยาวนานที่สุด นานที่สุดก็ออกไม่ค่อยได้กันน่ะพวกเราน่ะ ก็มองไปโน่นล่ะ มองไปไกลๆจิตสงบบ้าง จิตอยู่ธรรมชาติบ้าง อะไรต่างๆ บ้าง ไม่ได้มองตัวเราว่าเอ๊ะ ปัจจุบันนี่ มีความสุขตรงไหนล่ะที่นานที่สุด นึกตั้งแต่การกิน การหลับ การนอน ก็ดูสิ นึกถึงตัวเรานี่หน่าที่ว่า "คนใบ้ค้าไกล คนหลักค้าใกล้" น่ะแหละ เพราะมันก็มาจบตรงที่ อ้อ! เรานอนหลับ นอนหลับมันมีความสุขที่สุด ไม่อยากตื่น ได้มาปฏิบัติธรรม ให้ตื่นตี 3 โอ้ย ไม่อยากตื่น ทำไมไม่อยากตื่น เพราะมันมีความสุข อย่างนี้ เป็นต้น
ทำไมมันมีความสุข เพราะว่าเราไม่ได้คิด อันนี้อาตมาพูดให้เราพิจารณา แต่ไม่ค่อยเห็นกันอย่างนี้น่ะ นี่แหละเรียกว่า คนใบ้ค้าไกล ธรรมะจริงๆแล้วไม่ได้มากอะไรเลยน่ะพวกเรา
อาตมาอ่านหนังสือ "นวโกวาท" ที่เป็นบรรทัดแรกเลยน่ะ ที่เป็นธรรมะเลยน่ะ คือ "สติสัมปัญชัญญะ" ธรรมอันมีอุปการะมาก ก็คือ สติสัมปัญชัญญะ แค่นี้ก็จบแล้ว มีอุปการะมากกว่าคำทั้งหลายว่างั้นเถอะ ทำไมถึงบอกว่ามีอุปการะ คือ คำทั้งหลายที่มันจะเกิดขึ้น ถ้าไม่มีสติสัมปัญชัญญะแล้วเกิดขึ้นไม่ได้เลย อย่างกับพ่อแม่นั่นน่ะ ถ้าเราไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ เราก็เกิดไม่ได้ แสดงว่าท่านมีอุปการะมากกว่าธรรมทั้งหลาย แค่นี้ก็เข้าใจแล้ว
ต่อมาก็ "หิริโอตัปปะ" หิริ ความละอายแก่ใจ โอตัปปะ ความกลัวบาป แค่นี้ก็ประทับใจแล้วน่ะเราน่ะศรัทธาญาติโยมน่ะ เราต้องปฏิบัติในสิ่งนั้นให้มันเป็นจริงๆ ทำยังไงถึงจะเกิดมีสติ อันนี้ก็พูดจากการไม่ได้ศึกษามาก่อนน่ะ ไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษามาก่อน ไม่รู้เรื่องเลยธรรมะ ไม่รู้พูดอะไรกัน หิริ วิริยะอะไรไม่รู้เลย อาศัยนั่งหลับหูหลับตาที่ครูบาอาจารย์แนะนำนั่นแหละ คือ ไม่ได้เรียนมาก่อนไง แล้วเข้ามาสติปัฏฐานทุกเย็นเลยน่ะ ตอนเย็นก็มาสติปัฏฐานสี่ ท่องไปจนจบนั่นแหละ มหาสติปัฏฐานสี่ แปลด้วยน่ะ แต่ว่ามีสติน่ะ สติ สติ อะไรก็สติไปหมด คนที่ไม่มีสติไม่รู้แต่ก็ปฏิบัตไปด้วย แต่พอมันจะมี "สติ" บ้างน่ะพวกเรา ก็เหมือนที่อาตมาว่านี่ กลับมาอยู่ที่ตัว นึกถึงตัวรู้เลย รู้แล้วว่าที่อาจารย์ฯถามน่ะ คืออะไร พอมีสติหน่อยก็รู้ว่า นี่น่ะ ที่บอกว่ามีสติ จิตมีราคาก็ต้องรู้ว่าจิตมีราคะ จิตมีโทสะก็ต้องรู้ว่าจิตมีโทสะ จิตมีสงบ จิตมีฟุ้งซ่าน จิตมีสมาธิ จิตไม่มีสมาธิ จิตมีสมาธิกว่า กับจิตไม่มีสมาธิกว่า อย่างนี้ ให้รู้ชัด รู้ชัด รู้ชัดเลยน่ะพวกเราน่ะ
จะไปรู้ชัดได้ยังไง เมื่อเราไม่มีสติ แต่ทำไมมันรู้ อ๋อ! เพราะว่าเราปฏิบัติ มาปฏิบัติสมาธิอย่างนี้ ทำไปๆ เอาง่ายๆว่าทุกคนกลับมาหาตัวเองว่างั้นเถอะ ค่อยๆกลับมา กลับมาเหมือนกับที่อาตมาถามอยู่น่ะ แล้วคำว่าธรรมะ "พระพุทธเจ้า" เดี๋ยวนี้ เอ่อ ธรรมะ ธรรมะ 6 ข้อ คือธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ดีแล้ว เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ผู้ปฏิบัติพึงปฏิบัติได้ด้วยตนเอง เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก น้อมเข้ามาใส่ตัว อะกาลิโก ไม่จำกัดกาล ไม่จำกัดเวลา ใช่ไหม จงกล่าวกับผู้อื่น เธอจงมาดูเถิด มาดูได้ไหม คือน้อมเข้ามาใส่ตัวเราหมดเลยน่ะพวกเรา กิเลสมันเกิดที่ไหนมันเกิดอย่างไร อะไรที่มันทำให้เราทุกข์ ทีนี้ที่พวกเราอย่าไปมองข้างนอก อย่างที่โยมบอกว่า จะหาไปหาที่ข้างนอกไปหาที่ภาวนาอย่างนี้ จริงๆแล้วอยู่ที่ตัวเรานั่นแหละ กิเลสเกิดจากไหน ทำไมอาตมาพูด แล้วทำไมคนก็บอกว่า เออ! เห็นด้วย
นอนอยู่ป่าช้า ไม่รู้ว่าเป็น “ป่าช้า” คืนแรกๆ ผีไม่หลอก แต่พอรู้ว่าเป็นป่าช้า ที่นี้ ยิ่งเขามาบอกว่า เขาแขวนคอตายที่อาตมาแขวนขวดอยู่ ก็เหวย! คืนแรกก็หลับสบ๊าย ครูบามีอะไรไหม มีอะไรไหม โยมมาทำบุญ มีอะไรมาก๊อกแก๊กไหม ก็บอก หึ เมื่อคืนหลับสบ๊าย หลับสบาย เดินเหนื่อย แต่พอวันที่ 2 ผีหลอกเลย แล้วมันหลอก 2 วัน 3 วัน ทีนี้เอ๊ะ เวลาหลับทำไมไม่หลอก เราอยากจะหลับไหม ก็อยากจะหลับสิ ทำไม เพราะเราไม่ได้คิด พอ 3 วันเท่านั้นแหละ ตกลง ใครหลอก! กันแน่ะว่ะ พอเราบอกว่า ผีหลอก ผีหลอก ผีก็โกรธเลยน่ะ โอ้ยๆ ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรกับคุณ ฉันไปบอกญาติโยมด้วยซ้ำ ไปบอกศรัทธาญาติโยมด้วยซ้ำไป อันนี้ก็แปลกจริงๆน่ะ
อาตมาเข้าไปป่าช้าเนี่ย คืนนั้นน่ะ หมาเห่า หมาหอน เห่าแบบ โอ้โหย! หอนทั่วบ้านเลย พระไป 4-5 องค์ ก็ไปบอกข่าวโยมว่า พระมา เขาไม่ได้มาหลอกมาหลอนอะไรพวกเรา จะหลอกได้ยังไงในเมื่อเขาไม่มีตัวตน มีเฉพาะวิญญาณที่เหมือนกับพวกเรานั่นแหละ เราคิดก็มีใครเห็นเราบ้าง มีใครเห็นตัวเองบ้าง ไม่เห็น เห็นคนอื่นไหม ไม่เห็น เพราะอะไร เพราะมันเป็นอนัตตา ไม่มีตัวไม่มีตน ผีมันตายไปแล้ว กายมันวิ่นไปแล้ว จะเอาอะไรมาหลอกเรา เรานั่นแหละที่หลอกเอง สร้างต่างกัน ถ้าผีมีจริง ฟังใด้ดีน่ะ ทำไมผีมันต่างกัน คนเราน่ะโกรธเกลียดเคียดชังรักชอบเหมือนกัน หม๊ด ลูกเสีย เมียจาก พลัดพราก ร้องไห้ เหมือนกันหม๊ด ไม่ใช่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเราน่ะ ทั่วประเทศ ไม่ว่าประเทศไหนก็ชั่ง เหมือนกันหมดทุกอย่าง แต่ผีทำไมไม่เหมือนกัน ผีจีนเป็นยังไง โดดหยอง หยองๆ ใช่ไหม ผีจีน ผีฝรั่งนี่ โอ้ย! น่าเกลียด น่ากลัว
ผีไทยเป็นยังไง โอ้ย! แต่งตัวเรียบร้อย เรียกว่า นุ่งผ้าไทย แต่งตัวเรียบร้อย คนเหมือนกัน ความรู้สึกเหมือนกันหมด ผีน่ะ แล้วแต่ใครจะสร้างขึ้น 3 วันเท่านั้นพวกเรา เอ้า! แล้วผีอยู่ไหนว่างั้น แล้วตอนเราหลับ ทำไมผีไม่หลอกเรา อ๋อ! อย่างนี้ เขาเรียกว่า น้อมเข้ามาใส่ตัว นี่ไง อย่างนี้
นอนอยู่ข้างโลง ก็ไม่รู้ว่าเป็นโลงศพ มันมืด ไปกลางคืนใช่ไหม อะไรก็บดบังไปหมด ยังไงก็ไม่รู้น่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปกับเพื่อน 3 รูป พวกเราจะเดินกลางคืนน่ะธุดงค์มันเย็น ไม่มีใครผ่าน เดินผ่านบ้าน อย่างน้อยก็มีแต่หมา ศาลาอยู่ใกล้ๆน่ะศาลา แต่ไม่นอน ไม่เห็นศาลา ไปนอนที่ศาลาศพนั่นล่ะ เอ่อ ไปนอนที่ศาลาศพ พอรุ่งเช้าขึ้นมา โอ้ย ให้ไปนอนอีกไหม ไม่ไปแล้ว แล้วคืนแรก ทำไมไม่มี ทำไมไม่กลัว เพราะว่าเราหลอกเอง เราหลอกตัวเอง มนุษย์เรานี่แหละ ที่บอกว่า ในคืนแรกผีไม่หลอกบอกให้ท่าน ทั้งกลางวันกลางคืนเดินฉงน คืนที่สองผีหลอก หลอกทุกคน แต่พอหลับ ผีก็หลับตามๆกัน ใช่ไหม นี่เรียกว่า “ธรรมะ”
ที่หลวงปู่บอกว่า คนหลักค้าใกล้ คนใบ้ค้าไกล เรากลับมาดูที่ตัวเรา ที่ไหนล่ะ กิเลสมันตามไปด้วยไหม ทีนี้ ที่ว่า ทำไมเราไม่เห็น จิตเป็นอนุนิสัยของมารเลยน่ะ จิตทั้งหลายน่ะ ทุกดวงเลยเหรอ ทุกดวง ไม่ดีเลยเหรอ ไม่ดีเลย มีผู้รู้อยู่ แต่ผู้รู้ตัวนี้โดนเขาสะสม สร้างสมมา เหมือนกับที่เขาบอกว่า ตอนเด็กทำไมไม่มีกิเลส กิเลสทำไมไม่หนับ ไม่หนึบล่ะ พอโตเป็นสาวกิเลสก็ไม่แน่นหนา พอมีครอบครัว พอมีอายุมากยิ่งกิเลสยิ่งหนาก็เพราะว่ามันสะสม สะสมไม่ใช่วัตถุด้วยน่ะ เป็นความรู้สึกเฉยๆ รู้สึกชินๆบ่อยๆเข้าก็ชินน่ะ ให้เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาเปรียบเทียบว่า เอ้อ เรามีสิ่งนี้ไหม เรามีสิ่งนี้ไหม อย่างนี้ เอ่อ เราก็ทำไว้ในใจ เราก็เรียกร้องสัญญาสิ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้น่ะ อนิจจะสัญญาอย่างนี้ อนัตตะสัญญา แต่ทุขขะสัญญาไม่มี เพราะทุกคนมีทุกข์อยู่แล้ว ไม่อยากให้มันเกิดแต่มันทุกข์ตลอดเวลาอยู่แล้ว
อนิจจะสัญญา ทำไว้ในใจตลอดเวลาว่า เอ่อ มันไม่เที่ยงหรอก มันไม่เที่ยงหรอก อะไรจะเกิดขึ้น มันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยงหรอก อนัตตะสัญญา อาตมาก็ใช้น่ะ อนัตตะสัญญาเนี่ยน่ะ เอ่อ ก็มันไม่มีตัวไม่มีตนอะไร โกรธ เกลียด เคียดชัง มันมีไหมพวกเรา ความรู้สึกมันเกิดขึ้น มันกองไว้ไหม มันมาทับถม ทับถมกองไว้ไหม ไม่น่ะ แต่เอ๊! มันก็หายไปอย่างนี้ ทำไมเราทำสิ่งที่ไม่มีตัวตน ให้มีตัวตนได้ล่ะ ไอ้พูดคำด่าเขา ทะเลาะกันก็หายไปแล้ว จบ ทำไมเราไปนึกมาเป็นหน้าว่าไม่ชอบอยู่เนี่ย อย่างนี้ แล้วก็ไปนึกพิจารณาเป็นภาพอยู่นี้ เอ้อ ก็น่าคิดน่ะ น่าพิจารณาพวกเรา - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี