การยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นกับเรานี้ เป็นวิธีที่แก้ไขปัญหาภายในใจได้เสมอ แต่บางทีเราไม่มีสติปัญญาพอ ไม่ได้มองปัญหาของใจ มัวแต่ไปมองปัญหาภายนอก พยายามแก้ทุกวิถีทาง ถ้าแก้ได้ก็จะไม่มีปัญหาภายใน ถ้าแก้ไม่ได้ก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาในใจด้วย เพราะใจอยากจะแก้ให้ได้ ถ้าแก้แล้วเห็นว่าสุดวิสัย ไม่มีทางที่จะแก้ได้ ยอมรับความจริง ปัญหาภายในใจก็จะไม่เกิดขึ้น เช่นเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เราก็รักษาอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่หาย ก็ต้องยอมรับกับสภาพ ถ้ายอมรับได้ ปัญหาในใจก็จะไม่มี ใจจะนิ่งสงบเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้ร่างกายจะเป็นอะไรไป แต่ใจจะเป็นปกติ เหมือนตอนที่ร่างกายเป็นปกติ
นี่คือเรื่องของธรรมะ มีคุณประโยชน์กับจิตใจ เพราะจะรักษาใจให้อยู่เหนือความทุกข์ได้ เราจึงควรยินดีกับการศึกษาปฏิบัติธรรม เพราะเป็นวิธีที่จะนำธรรมเข้ามาสู่ใจ มาดูแลรักษาใจ ธรรมที่ได้ยินได้ฟังนี้ยังไม่เป็นธรรมที่แท้จริงสำหรับเรา ถึงแม้จะเป็นธรรมที่แท้จริงสำหรับพระพุทธเจ้าก็ดี สำหรับพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายก็ดี แต่สำหรับพวกเราธรรมยังไม่ได้เข้ามาในใจ หรือเข้ามาแล้วแต่ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา อยู่สักระยะหนึ่งแล้วก็จางหายไป เพราะเราเอาสิ่งอื่นมากลบธรรมที่ได้ยินได้ฟังมา พอไปคิดเรื่องอื่น เวลาทำงานทำการต้องใช้ความคิด ธรรมที่ได้ยินได้ฟังมาก็จะถูกความคิดอื่นกลบหายไปหมด ไม่มีเหลืออยู่ในใจเลย พอเกิดปัญหาขึ้นมา ธรรมก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาในใจได้ ไม่สามารถคุ้มครองใจไม่ให้ทุกข์วุ่นวายได้
หน้าที่ของเราก็คือ ต้องทำให้มีธรรมะอยู่ในใจตลอดเวลาจนเป็นนิสัย จะคิดอะไรก็คิดด้วยธรรมะ ตอนนี้นิสัยของเราจะคิดด้วยโมหะอวิชชา อวิชชา ปัจจยา สังขารา คิดด้วยความหลง แล้วก็สร้างความทุกข์ขึ้นมาให้กับเรา จะมีความอยากต่างๆ ซึ่งมักจะสวนทางกับความจริง เช่นอยากจะอยู่ไปนานๆ อยากจะมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งไม่ตรงกับความจริง เพราะร่างกายมีอายุขัย ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ถ้าเอาธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า มาคอยเตือนใจอยู่เรื่อยๆ จนฝังอยู่ในใจแล้ว ก็จะดับความหลงความอยากต่างๆ ได้
เหมือนกับการท่องสูตรคูณ หรือท่อง ก.ไก่ ข.ไข่ ถ้าท่องได้แล้ว เวลาเห็นตัวอักษรจะรู้ทันทีว่าเป็นตัวอะไร ถ้าจำความหมายของตัวอักษรได้ เวลาเห็นตัวอักษรในหนังสือ ก็จะเข้าใจความหมายทันทีเลย ไม่ต้องมาสะกดมาคิดว่ามีความหมายอย่างไร เพราะถูกฝังไว้อยู่ในใจแล้ว พอสัมผัสด้วยตาปั๊บก็จะรู้ขึ้นมาในใจทันที ฉันใดธรรมะก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่พวกเราไม่ค่อยได้เอาธรรมะเข้าสู่ใจ เหมือนที่เราเอา ก.ไก่ ข.ไข่หรือสูตรคูณเข้ามาสู่ใจกัน พอเวลาที่ต้องใช้ธรรมะก็เลยไม่มีธรรมะให้ใช้ มีแต่โมหะอวิชชาที่สร้างความอยากต่างๆ ขึ้นมา แล้วก็สร้างความทุกข์ตามมา
เราจึงควรเอาเวลาอันมีค่าของมนุษย์นี้ มาเอาธรรมะเข้าสู่ใจ ถ้าทำอย่างจริงจังก็ไม่ต่างจากการเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ จนอ่านออกเขียนได้ เพราะเราทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนกัน ตั้งแต่ ป.๑ ถึง ม.๖ ก็ ๑๒ ปีเข้าไปแล้ว ถ้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยก็อีก ๔ ปี รวมเป็น ๑๖ ปี ถ้านับอนุบาลอีก ๓ ปี และก่อนอนุบาลอีก ๑ ถึง ๒ ปี ก็ต้องใช้เวลาไปกับการเรียนทางโลกอย่างน้อยก็ ๒๐ ปี ถ้าทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนธรรมะ ๒๐ ปี ก็จะหลุดพ้นได้อย่างแน่นอน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี วันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ (เพจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต) - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี