เป็นเรื่องน่ากังวลเมื่อพบว่ามีเด็ก เยาวชนไทยเข้าสู่วังวน“คนขี้เมา” จำนวนมาก แถมแนวโน้มอายุน้อยลงเรื่อยๆ ทั้งๆที่ทุกฝ่ายต่างก็ทราบกันดีว่า “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” นั้นเป็นต้นเหตุของปัญหาความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งกับผู้อื่น หรือแม้กระทั่งความรุนแรงต่อตัวเอง หลายต่อหลายคนต้องกลายมาเป็น“ยุวอาชญากร”
แม้ว่า“พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปี 2551” เขียนเอาไว้ชัดเจนว่าห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี และห้ามขายให้กับคนเมาครองสติไม่ได้ แต่ล่าสุด ทางสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่เยาวชนผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครือข่ายได้ออกมาแฉตัวเลขว่ามีผู้ประกอบการผับ บาร์ ร้านค้าปลีกมากกว่า 99% เหล้า-เบียร์ให้กลุ่มคนต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวกันอย่างไม่เกรงกลัว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ผอ.สถาบันวิจัยวิทยาการสุขภาพ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และนักวิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ระบุว่า กฎหมายของไทยค่อนข้างที่จะครอบคลุมตามประเด็นที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ ทั้งเรื่องการควบคุมการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งการจำกัดเวลาซื้อ ขาย การจำกัดอายุ เป็นต้น
แต่นั่นเป็นเพียงตัวอักษรเท่านั้น เพราะปัญหาจริงๆ ของเมืองไทยอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายมากกว่า !
ส่วนเรื่องภาษี เรื่องราคาซึ่งจะอยู่กับกระทรวงการคลัง ซึ่งเวลาตัดสินใจขึ้น หรือไม่ขึ้นภาษีนั้นจะไปมองเรื่องการหารายได้เข้ารัฐมากกว่าที่จะมองเรื่องสุขภาพ และมาตรการที่ต่างประเทศทำแต่ที่ประเทศเราไม่มีนั้นคือการกำหนดราคาขั้นต่ำของแอลกอฮอล์ตามหน่วยของแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ที่อยู่ในเครื่องดื่ม
ขณะที่เรื่องการออกใบอนุญาตจำหน่ายสุรา จะเห็นว่ากฎหมายไทยก็มีความแตกต่างจากกฎหมายของต่างประเทศค่อนข้างมาก โดยในต่างประเทศจะค่อนข้างชัดว่ามีการแบ่งร้านค้าปลีกกับร้านนั่งดื่มออกจากกัน แต่ประเทศไทยไม่ได้แบ่งเช่นนี้ แต่แบ่งตามปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งจริงๆ ระดับความเสี่ยงและการจัดการกับร้าน 2 ประเภทนี้จะแตกต่างกัน ไม่ได้แบ่งตามปริมาณการจำหน่าย ทำให้เกิดการลักลั่น เช่น หากเป็นร้านนั่งดื่มสามารถอบรมให้พนักงานห้ามเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้คนเมาได้ รวมถึงการตรวจบัตรต่างๆ ในกฎหมายก็เขียนชัดว่าห้ามเสิร์ฟคนเมาที่ครองสติไม่ได้ แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีกลไกบังคับใช้ ส่วนหนึ่งมาจากระบบการไม่มีใบอนุญาตอย่างที่ต่างประเทศใช้
ส่วนเรื่องเมาแล้วขับในไทยมีการสุ่มตรวจน้อยมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ และส่วนใหญ่กระจุกตัวในเมืองใหญ่ ส่วนต่างจังหวัดแทบไม่มีการตรวจเลย ดังนั้น ตนมองว่ากฎหมายที่มีครอบคลุมอยู่แล้ว เอาว่าเท่าที่มีอยู่ขอให้มีการบังคับใช้อย่างเต็มที่ก่อนดีกว่า
ด้าน นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงาน เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.)ก็ได้เปิดเผยว่า ข้อมูลจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา เมื่อปี 2560 พบว่าประเทศไทยมีผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คิดเป็นร้อยละ 28.40 ลดลงจากปี 2557 ที่มีผู้ดื่ม 32.29% ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีกฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในภาพรวมมีทิศทางที่ดีขึ้น จำนวนผู้ดื่มลดลง แต่กลุ่มที่ยังน่าเป็นห่วงคือกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี ที่ยังพบว่ามีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มากถึง 2,282,523 คน คิดเป็นร้อยละ 23.91 หรือ 1 ใน 4 ของเยาวชนทั้งหมด
ในแง่กฎหมายเจ้าหน้าที่ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้นต่อกรณีการขายเหล้าให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีหากมีการปรับปรุงกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องแก้เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ควบคุมการโฆษณาแฝง ควบคุมกิจกรรมการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของธุรกิจสุรา กรณีที่มีความพยายามที่จะแก้กฎหมายให้สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถาบันอุดมศึกษาได้ การเพิ่มโอกาสให้มีการดื่มในโรงเรียนได้ การยกเลิกเวลาห้ามขายที่จะส่งผลให้ขายได้ตลอด 24 ชม. จะเป็นปัญหาอย่างยิ่งต่อสังคมไทยโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน
ขณะที่ นายโยธิน ทองพะวา ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ระบุว่า เรื่องการคุ้มครองเด็กไม่ใช่แค่ช่วยเด็กที่ถูกทำร้ายเท่านั้น แต่รวมถึงเรื่องการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเด็ก สภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นอันตราย ห่างจากอบายมุขจนทำให้เด็กเกิดความคุ้นชิน เช่น การใช้เด็กซื้อเหล้า บุหรี่ ซึ่งจะนำมาสู่พฤติกรรมอยากลอง เข้าสู่การเป็นนักดื่มหน้าใหม่ รวมถึงกรณีการที่อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่อันตรายอาจจะทำให้เด็กโดนลูกหลงจากความรุนแรงในวงเหล้าด้วย
“การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีนั้นเป็นมาตรฐานการเลี้ยงดูขั้นต่ำตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก แต่ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะไม่ทราบ หรือยังไม่ตระหนัก เพราะยังพบปัญหาร้านค้าขายเหล้าให้เด็กอยู่ดังนั้นจึงต้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ข้อกฎหมายนี้”
สำหรับปีใหม่ที่จะถึงนี้ต้องอิงกับปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน เพราะในการระบาดหลายระลอกที่ผ่านมาจะเห็นว่าจุดเริ่มต้นของคลัสเตอร์ต่างๆ มาจากวงเหล้าในสถานบันเทิง เมื่อเกิดการระบาดแล้วต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะกลับมาเปิดประเทศได้สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจ สังคม ชีวิตจำนวนมาก
ผศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว
วันนี้เราเริ่มเปิดประเทศกันแล้ว ดังนั้นในช่วงปีใหม่ ก็ขอให้เฉลิมฉลองกันอย่างรับผิดชอบ เช่น ลดการรวมตัว ฉลองบ้านใครบ้านมัน เพื่อจำกัดวงให้เล็กที่สุด และส่วนตัวที่อยากจะเสนอ เกี่ยวกับเรื่องการจัดกิจกรรมต่างๆ ขอให้ผู้จัดจำกัดวงเล็กๆ คนที่พักร่วมกันก็ให้ทำกิจกรรมในกลุ่มเดียวกันตลอด เป็นต้น
ในโอกาสนี้นายเอ (นามสมมุติ) หนึ่งในเยาวชนก้าวพลาดที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นตัวจุดชนวนปัญหา เล่าประสบการณ์ชีวิตเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนรุ่นใหม่ฟัง โดยเอ่ยก่อนเลย ว่า “ถ้ามองย้อนกลับไปถ้าไม่ใช่เพราะเหล้าคงไม่มีใครกล้าทำอะไรรุนแรงแบบนี้ แต่มันเป็นตราบาปติดอยู่ในใจมาตลอดว่าเราเกือบจะฆ่าลูก หรือพ่อ หรือสามีของครอบครัวใด ครอบครัวหนึ่งไปเสียแล้ว สิ่งที่ผมสามารถทำได้เพื่อเป็นการเยียวยาสิ่งที่ติดอยู่ในใจได้คือ การได้ออกมาบอกเล่าประสบการณ์ก้าวพลาดนี้ให้กับคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะวัยรุ่น ต่อให้ต้องพูดล้านครั้ง ให้ล้านคนฟัง แต่มีเพียงแค่คนเดียวที่เข้าใจผมผมก็ถือว่าดีมากแล้ว ไม่อยากให้ใครก้าวพลาดแบบผม”
นายเอ เล่าว่า ตนอาศัยในบ้าน ในชุมชนที่มีความใกล้ชิดกัน ช่วยรุ่นพี่ ผู้ใหญ่ซื้อเหล้า บุหรี่ในหมู่บ้านเป็นประจำเลยมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ปกติมาก จากนั้นเมื่อเข้าเรียนในระดับอาชีวศึกษาถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเพราะใช้เหล้าและความรุนแรงเพื่อสร้างการยอมรับจากเพื่อนๆ โดยไปมีเรื่องกับคู่อริต่างๆ ไม่เรียนหนังสือจนติดศูนย์ทุกวิชา ต้องดร็อปเรียนกันทั้งกลุ่มรวมถึงพี่ชายฝาแฝดของตนด้วย ทั้งนี้หลังดร็อปเรียนยังไม่สำนึก มีอีโก้ไม่ทำงานแต่ใช้ความรุนแรงไปปล้นคนอื่นเพื่อเอาเงินมาซื้อเหล้ายาเลี้ยงตัวเองและเพื่อนๆ
จนเมื่ออายุ 17 ปี ตนและเพื่อนๆ ไปร่วมงานปาร์ตี้แล้วเจอคู่อริที่ร้านข้าวต้ม ตนยิงคู่อริแล้วกลับไปบอกเพื่อนๆ จากนั้นก็พากันยกพวกมาหวังจะทำร้ายซ้ำที่โรงพยาบาล แต่ระหว่างนั้นทหารนายหนึ่งขับรถเบียดตนก็ได้ยิงทหารนายนั้นอีก และในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุยิงที่ร้านข้าวต้มจึงเข้ามาจับกุมเพื่อน ตนเห็นจึงได้เข้าไปช่วยและมีการยิงต่อสู้กันตนหนีได้ แต่หลังจากนั้น 7 วันก็เข้ามอบตัว
โดยสรุปมีผู้ร่วมก่อเหตุทั้งหมด 6 คน โดยมี 5 คน เป็นเยาวชน ส่วนตนต้องเข้าไปอยู่ที่บ้านกรุณา ซึ่งมีสภาพหดหู่มาก เพราะรวมเอาเด็กที่ก่อคดีรุนแรงเข้ามาอยู่ร่วมกัน ในนั้นไม่มีใครถามไถ่ว่าจะเรียนต่ออะไร จะไปทำอะไร การจะอยู่ที่นั่นให้รอดจึงต้องใช้ความรุนแรง ความเป็นมนุษย์ถอยห่างออกไปทุกวัน
แต่เนื่องจากกระทรวงยุติธรรมยังมีกิจกรรมให้ทำทั้งกีฬา ดนตรี ซึ่งตนก็เป็นตัวแทนนักกีฬากับพี่ ทำให้พอออกมาเห็นโลกภายนอกก็รู้สึกดีมากแม้เป็นเพียงอิสรภาพเพียงชั่วคราว จึงเริ่มหาข้อมูลบ้านกาญจนา ตอนบอกพ่อ-แม่ที่มาเยี่ยมตลอด 9 เดือน เป็นครั้งแรกที่ท่านยิ้มอย่างมีความสุขจริงๆ ไม่ใช่การฝืนเหมือนที่ผ่านมา ทั้งนี้พอมาอยู่ยังไม่ได้เชื่อมั่นว่าจะมีใครต้อนรับหรือขัดเกลา แต่ตอนเจอ“ป้ามล” ผูกแขนต้อนรับและบอกกับเราว่าไม่เป็นอะไร มาเริ่มต้นกันใหม่ทำให้รู้สึกตื้นตันใจ แต่ก็ใช้เวลากว่า 3 เดือน ถึงเปิดใจยอมรับ โดยที่นี่ให้อิสระต่างจากที่เดิมหมดเลย
วันนี้ นายเอพ้นโทษออกมาแล้ว พร้อมทุ่มเทแรงกาย แรงใจ เพื่อสกัดปัญหา “ยุวอาชญากร” ไม่ให้ใครต้องเป็นเหยื่อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วต้องใปจบชีวิตในคุกอีกต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี