“พระครูวิทูรธรรมนิเทศ” หรือ "หลวงพ่อสำรวย ตายโน" เจ้าอาวาสวัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมตตาเทศนาธรรม หัวข้อ “พร 3 ข้อ ไปดี มาดี มีสุข” ให้แก่พุทธศาสนิกชน หลังฉันจังหันเช้า ที่ลาดพร้าว ซอย 35 กรุงเทพมหานคร ก่อนจะเดินทางกลับไปยังวัดภูริทัตตวนาราม
ถ้าไม่สบายก็พุทโธ พุทโธ เป็นผู้รู้ ก็จะละสิ่งที่ไม่ดีนั่นล่ะ พุทโธรู้ เราก็ล่ะ อารมณ์ที่ไม่ดี มีแต่อารมณ์ที่ดี ถ้าเราละอารมณ์ที่ไม่ดี เราก็มีสุขเท่านั้น การละ “ไปดี มาดี มีสุข” พรสั้นๆ 3 อย่าง ที่พึ่งอยู่ที่ใจเรา ใจดีทำอะไรก็ดี สบาย เพราะอะไรถึงไม่มีสุข ก็ละสิ่งที่ไม่มีสุขออก เหมือนเราทำความสะอาดร่างกาย ละเอาสิ่งสกปรกออก ร่างกายเอาสิ่งสกปรกออก ซักเสื้อผ้าก็เอาสิ่งสกปรกออก ใจเรามันคิดไม่ดีไป อารมณ์มันสกปรก เราก็เอาออก ใจมันสกปรก ใจมันสะอาด ใจมีศีลมีธรรม ก็มีความสุขแล้ว แค่นั้นเอง ให้การบ้านทุกคน ดูใจตลอดเวลา
ใจเป็นที่เก็บของบุญ ไม่ได้เก็บที่อิื่น คลังบุญอยู่ในนั้น ที่ทำมาทั้งหมด กี่วันกี่คืน กี่เดือน กี่นาทีที่ทำบุญมาทั้หมด พอทำปุ๊บ ก็เก็บเป็นออโตเมติกเลยน่ะ พอทำปุ๊บ พอเราเปิดก็เห็นอยู่ที่ใจของเรา เราทำบุญตรงนั้นๆ นึกถึงบุญมันเป็นเหตุ อิ่ม อิ่มใจ ไม่พะวักพะวง ไม่วุ่นวาย ใจหิว ใจไม่มีบุญ หิวกระหายนั่นกระหายนี่ กระตือรืนร้นจะเอาไอ้นั่นจะเอาไอ้นี่ ไม่ได้ก็เป็นทุกข์ เราจะเอา เวลามันเสียหายก็เป็นทุกข์อีก มันเอาล่ะ นั่น สบายถ้านั่งแบบไม่เอาอะไร ถ้าขั้นปรมัตถ์ ไม่เอา ถ้าปริยัติ ก็จะเอา เอาเพื่ออาศัยของกาย บางอย่างก็ต้องจำเป็น เอาไว้บรรเทาความจำเป็นของชีวิตไปวันๆหนึ่งเท่านั้นล่ะ ที่พึ่งได้ก็คือ บุญเท่านั้นล่ะ
มีเมตตาผู้อื่น จิตมันก็ฉลาดขึ้นมาทันที มีปัญญาขึ้นมาทันที ไม่เหมือนจิตขัดเคือง ขาดปัญญา โง่ เอาแต่สิ่งที่ไม่ดีมาใส่ใจ พอใจมันโง่ปุ๊บแล้ว ไอ้ความโง่ก็จะสอนใจ อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี มันจะสอนใจให้ว่า ให้เข้าใจผิด กับสิ่งทั้งหลาย ไม่ดี ที่มีความรู้สึกนี่ ไม่ดี เอาความโง่มาผูกติดในใจไว้ มันล๊อกไว้ในใจเรา มันก็ลากไปโน่นไปนี่ มันก็ลากไปหาสิ่งที่เศร้าหมอง สิ่งที่เป็นทุกข์ ไม่มีใครมารบกวน ก็นั่งให้สบายใจ ไม่มีใครมา มีแต่ความโง่มันจะขุ่นใจให้ ต้องแก้ด้วยความฉลาด
ใจเราอยู่ที่ไหน ทำให้สว่าง ถ้าไม่มีตาก็มืดเหมือนเก่า สว่างเป็นที่สุดมืดของตา ตานี่ต้องมี ต้องดี ถึงจะเห็นแสงสว่าง ที่เราเห็นเพราะตา คนตาบอด แสงสว่างก็ช่วยไม่ได้เลย ตานอก ตาในก็เหมือนกัน ตาในคือตาใจ ตาใจมันสว่างเพราะอะไร เพราะมันรู้เหตุ เหตุที่ให้เกิดความทุกข์ ทำอย่างนี้ คิดไม่ดี พูดไม่ดี เป็นเหตุ ทำไปแล้ว มีผู้เดือดร้อนตามมา ใช้ปัญญาเห็นแล้ว พอปัญญาเห็นแล้ว อะไรที่ทำให้เกิดความทุกข์ ไม่ทำ ละ
ปลายเหตุที่จะให้เกิดทุกข์แก่ตนเองและผู้อื่นอย่าไปทำ เหตุที่ให้เกิดความสุขสบายแก่ตนเองและผู้อื่นนี่ ทำ การให้ การเสียสละ ความเมตตา การพิจารณา พิจารณาก็ใช่อยู่ตลอดเวลา เพื่อดูว่า วันหนึ่งเราทำกรรมดี หรือ กรรไม่ดี ให้รู้ตลอดวันเลย โอ้! วันนี้ ให้รู้ตลอดวันเลยว่า เราบริสุทธิ์ และ สะอาดต้องตรวจดูตลอดเวลา ใจของของเรา
กายนี่มันไม่ได้ดีไม่ได้ชั่วอะไรหรอก กาย ก็ดูแลรักษากันไป ให้เราตรวจ เหมือนหมอตรวจงานนั่นล่ะว่า เรียบร้อยหรือเปล่า วันนี้ทำอะไรไปบ้าง ลูกน้องทำอะไร งานเก็บเรียบร้อยไหม งานทุกประเภทน่ะ ถ้าไม่ตรวจ สกปรกหมด ไม่เรียบร้อย ผิดพลาดตามมา ความไม่เรียบร้อย ทำให้เกิดความผิดพลาด ความผิดพลาดทำให้เกิดความหงุดหงิด เจ้าของก็หงุดหงิด ผู้ที่เกี่ยวข้องก็หงุดหงิด ถ้ามันผิดพลาดแล้วมันก็ไม่เรียบร้อย เป็นอะไรก็เป็น เพราะว่าไม่ตรวจ ไม่พิจารณา เพราะฉะนั้น ใจเราก็เหมือนกัน เวลาอารมณ์ค้างคาอะไร มันข้องอยู่ก็ปลดมันเลย มันคาอะไรก็เอาอันนั้นออก ข้องคา คือว่า ติด ปลดออกเลย สติปัญญา ต้องมีสติปัญญาทุกวัน คนมีบุญ คนมีบุญดูตรงนี้แหละ
สติปัญญา สติก็เป็นกลางน่ะ ปัญญาก็เป็นกลางน่ะ จะกี่นาที ก็สัมมาสติ ถ้ามิจฉาสติ ก็วางแผนจะคดจะโกง ขโมยเล็ก ขโมยน้อย คนขโมย โห้ย! มีสติดีนี่ล่ะ ยกไประมัดระวัง กลัวคนจะเห็น เอ่อ ไม่ใช่ไม่มีสติน่ะ มีสติ แต่เป็นมิจฉาสติ สติเป็นธรรมะ เป็นกลาง อยู่ที่ว่าเป็นสัมมา หรือ เป็นมิจฉา ถ้ามองรู้อะไรผิดดีชั่ว ก็ทำตามสติปัญญา เห็นเป็นจริงอะไรก็พิจารณาเอาทำตามนั้น สติต้องระลึก เรียกว่า สัมมาสติ มิจฉาสติ ถ้ามรรคก็สัมมาสติ ถ้าอกุศลจิตก็มิจฉาสติ ลึกๆลงไป เกลียดตรงนั้น เกลียดตรงนี้ ก็มิจฉาสติแล้ว เห็นความไม่ดี ที่เขาทำ เขาพูดกับเรา วันนั้น เดือนนั้น ไปคิดถึงเรื่องนั้นก็เป็นมิจฉาสติ พอระลึกไปแล้วความรู้สึกก็ไม่สบาย ก็ทำให้เกิดเศร้าหมองในจิต เพราะควบคุมสติไม่ได้ พอรู้ว่ามันจะลึกปุ๊บ ก็เกิด “สมาธิ” นี่เป็นมิจฉาทิฐิ ก็ให้กลับมานึกถึงความดีของเราก็ได้ ของผู้อื่น นึกถึงคุณพ่อ คุณแม่ คุณพระพุทธเจ้า คุณครูบาอาจารย์ฯ ระลึกอะไรก็ได้ที่อยู่ในขอบเขตแห่งความดี
เปลี่ยนจากการระลึกถึงสิ่งที่ไม่ดี วิธีแก้ เปลี่ยนได้ เราเป็นผู้ควบคุม ไม่ใช่จะเป็นเองน่ะ สติ อยู่ที่ว่า เราระลึก ถ้าไม่ระลึกก็นิ่งอยู่ เฉยอยู่ ถ้าเข้าไปอยุ่ในพุทโธ ก็เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องระลึกรู้อะไร นึกถึงแต่มันจางแล้ว ไม่ลึกแล้ว ฝ่ายไม่ดีไม่ระลึก ระลึกแต่ฝ่ายดี เป็นแค่จางๆ เป็นสมาธิ อยู่ตรงกลาง ที่ว่าเรากำหนดได้นานเท่าไหร่ 30 นาที 40 นาที มันเหมือนผ่านไปๆ มันอยู่เฉพาะหน้า นานเท่าไหร่ ไม่สน มันอยู่เฉพาะหน้า ที่ว่านานมันอยู่ที่นาฬิกาเฉยๆ แต่มันไม่มีว่า เวลาเท่าไหร่ พุทโธ ไม่มีเวลา เวลามันอยู่ที่กำหนดไว้แล้ว เพราะฉะนั้น พอเข้าถึง “พุทโธ” มันจะรู้ นอนหลับกลางคืนนี่ ข้างในก็รู้อยู่น่ะ ไม่สงสัยเหรอว่า ทำไมไม่หลับวันนี้ ทำไมนอนยาก ก็ปรุง ก็สงสัยขึ้นมาอีก ก็ให้รู้อยู่อย่างนั้น หลับหรือไม่หลับ ข้างในรู้ นั่นล่ะ อยู่กับบุญแล้ว อยู่กับพระพุทธเจ้าแล้วอย่าไปกังวลนอนไม่หลับ อย่าไปกังวล ดีที่สุด คือ นอนไม่หลับ พอตั้งใจจะภาวนาหลับเลย ก็อยากให้กลับก็พลิกไปพลิกอยู่อย่างนั้น หลับนี่เป็นการพักประสาทตา ตาเราหลับอยู่แล้ว ประสาทตาก็หลับอยู่แล้ว ก็พักผ่อนอยู่แล้ว ส่วนร่างกายไม่รู้เรื่อง ร่างกายนิ่ง ถือว่าพักผ่อนแล้ว กายนิ่ง กายก็หลับ ใจก็นิ่งด้วย พักผ่อนทั้งสอง ทั้งกายและใจ สุดยอด ไม่นานเท่าไหร่ก็มีพลังแล้ว พระอริยะเจ้าก็กำหนดจิตครั้งเดียวก็พักไปเลย
ความไม่สบายใจเป็นเรื่องธาตุขันธ์ ทำให้ธาตุขันธ์เกิดการเปลี่ยนแปลงสมบูรณ์ ควบคุมระบบธาตุขันธ์อุดมสมบูรณ์ ถ้าหงุดหงิดขึ้นมาก็ทำให้ปั่นป่วน มีเลือดลมทันทีเลย หน้าขาวๆขึ้นมา ถ้าโมโหขึ้นมานี่เปลี่ยนสีเลย ถ้าไม่เชื่อ โมโหดูสิ เปลี่ยนสีเลยล่ะ จะแต่งดีเท่าไหร่ก็ช่าง โมโหสามี โมโหลูกน้องไปดูกระจกเลย แปรสภาพเป็นหน้าตาไม่เหมือนคนสวยคนงาม มันชาร์ตเข้าไปในอารมณ์ ในเลือด ในอะไร มารดาผู้ตั้งครรภ์ ถ้านิสัยของแม่ชอบประเภทไหนมาก ลูกจะได้นิสัยตัวนั้น ชอบอ่านหนังสือ เวลาลูกออกมา ก็เข้าใจแต่หนังสือ แม่ขี้โทโสโมโหฉุนเฉียว อะไรหงุดหงิดมา ลูกออกมาก็ขี้โมโหเหมือนกัน เพราะมันถ่ายเลือดทารกในครรภ์ เลือดเย็น หรือ เลือดร้อน เลือดนิ่ง เลือดนิ่งคือเลือดที่อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ มันเป็นสติสัมปชัญญะปัจจุบัน ไม่วอกแวก เพราะอ่านหนังสือมันลึกๆไปตามความรู้ที่อ่านมันจะเข้าไป เข้าไป อ่านหนังสือกับทำสมาธิภาวนา เลือดจะเย็น เลือดจะปกติ ลูกขี้โมโหก็เพราะตอนมีครรภ์ แม่ชอบหงุดหงิด
ถ้าแม่ชอบภาวนา แม่ชอบเข้าวัด ลูกออกมาเป็นนิสัยอย่างนั้น ออกมาก็เด็กไปวัด ไปใส่บาตร พาใส่บาตรตั้งแต่ตอนมีครรภ์ พาใส่มา นิสัยของแม่เข้าไปเลี้ยงเลือดทารก อันนี้แหละ ธรรมะ 3 ข้อ นี่ต้องพยายามทำให้ได้ “อยู่ดี ไปดี มีสุข” หรือยัง ถ้าไม่ดีก็ละเลย ขนาดไปนั่งรถ นั่งเรือ ไปดีหรือยัง เราไปดีไหม ถ้าไปไม่ดี เฮ้ย! หยุด เราไม่ต้องการ ใช่ไหม สิ่งไม่ดี ถ้าเราไม่หยุด ก็เพิ่มความโง่ เพิ่มความหลงเข้าไป ถ้าเราหยุดได้ ก็เพิ่มความรู้เท่ารู้ทัน รู้แจ้ง ให้เกิดทุกข์โทษเวรภัยต่อเรา เราต้องรู้ทัน รู้แจ้ง ถ้าเป็นนั่นล่ะก็ “รู้กัน รู้แก้ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” ให้อภัย - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี