“กรวยจราจร” เป็นอุปกรณ์สำหรับอำนวยความสะดวกด้านการจราจรที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากใช้งานได้ง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก สามารถใช้ในการควบคุมการสัญจรของยานพาหนะได้ทั้งบนทางเท้า อาคารจอดรถ หรือตามทางสาธารณะในลักษณะต่างๆ ได้อย่างสะดวก จึงพบเห็นการนำออกมาใช้งานกันทั่วประเทศ
กรวยจราจรมีหลายขนาด ส่วนที่นิยมใช้ มีความสูงอยู่ที่ 500-800 มิลลิเมตร สีที่พบเห็นกันมากที่สุดจนชินตาคือสีส้ม เพราะมองเห็นได้ง่าย วัสดุที่นำมาผลิตส่วนใหญ่เป็นพลาสติกซึ่งในการใช้งานนั้น เนื่องจากต้องอยู่ใกล้กับการสัญจรผ่านไป-มาของยวดยานพาหนะชนิดต่างๆ ทำให้มีโอกาสที่จะถูกชน ถูกกระแทกได้ตลอดเวลา จึงต้องมีคุณสมบัติที่ทนทาน รองรับแรงชน แรงกระแทก แรงกดทับได้ดี เพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยืนยาว
ล่าสุด ได้มีการพัฒนากรวยจราจรให้มีคุณสมบัติดีขึ้นอีกระดับหนึ่ง โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เปิดตัวกรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติกที่ได้จากการผสมยางธรรมชาติและพลาสติกทดแทนกรวยจราจรแบบเดิมที่ผลิตจากพลาสติก ทำให้ใช้เวลาในการฉีดขึ้นรูปกรวยจราจรต่อรอบต่อชิ้นน้อยลงกว่าเดิม สามารถแกะชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ฉีดได้ง่ายกว่า ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ได้กรวยจราจรที่มีความยืดหยุ่น ไม่แตกหักเมื่อถูกรถชนหรือทับ ทั้งยังช่วยลดของเสียในกระบวนการผลิต โดยในขณะนี้ ได้ผ่านการทดสอบการใช้งานจริงจากผู้ประกอบการ และได้เข้าสู่กระบวนการผลิตและจัดจำหน่ายแล้ว
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG Economy Model ที่ต้องการให้อุตสาหกรรมไทยหันมาใช้วัสดุสีเขียว (Green Materials) ซึ่งได้มาจากธรรมชาติมากขึ้น“ยางพารา หรือยางธรรมชาติ” ถือเป็นวัสดุที่อุตสาหกรรมให้ความสนใจ และในกรณีนี้คือ ด้วยทรัพย์สินทางปัญญาที่ เอ็มเทค สวทช. มีอยู่ในรูปความลับทางการค้า จึงสามารถตอบโจทย์ของบริษัทเอกชนที่ต้องการผลิตกรวยจราจรที่มียางธรรมชาติเป็นส่วนประกอบ เพื่อผลิตเป็นกรวยจราจรเกรดพิเศษโดยการใช้เทคโนโลยีการผลิตยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก (Thermoplastic Natural Rubber, TPNR) จากเดิมที่ผลิตจากพลาสติกประเภทเอทิลีนไวนิลแอซีเทตโคพอลิเมอร์ (Ethylene Vinyl Acetate Copolymer,EVA)
จากที่ปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้ใช้ยางพาราหรือยางธรรมชาติมาเป็นวัตถุดิบในการพัฒนาและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางสำหรับอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อให้เพิ่มชนิดและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และช่วยให้เกษตรกรชาวสวนยางมีรายได้มากขึ้น จึงเกิดการส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้ในการคมนาคมภายในประเทศมากขึ้น เช่น หลักกิโลเมตรแนวกันโค้ง และแผ่นยางกันชนครอบแบริเออร์คอนกรีต เป็นต้น
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล
“กรวยจราจรก็เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจและมีการใช้งานแพร่หลายในปริมาณมาก และเป็นโจทย์วิจัยที่ผู้ประกอบการต้องการให้ทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ได้ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นกรวยจราจรที่มีส่วนผสมของยางธรรมชาติมีคุณสมบัติยืดหยุ่น ไม่แตกหักง่ายเมื่อถูกรถเหยียบ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ตอบโจทย์ภาคเอกชนและต่อยอดไปจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้” ผู้อำนวยการเอ็มเทค สวทช. กล่าว
นายวษุวัต บุญวิทย์ ผู้บริหาร บริษัท ธนัทธร จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์จราจร ที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปี กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทพยายามสนับสนุนการใช้ยางพาราใผลิตภัณฑ์ต่างๆ ดังนั้น จึงเกิดแนวคิดที่จะผลิตกรวยจราจรซึ่งมีส่วนผสมของยางพารา เพื่อสร้างความแตกต่างและปรับปรุงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น เนื่องจากกรวยจราจรผลิตอยู่นั้นทำจากพลาสติก 100% ถึงแม้จะเลือกใช้พลาสติกที่มีความยืดหยุ่น เช่น EVA แต่หากสามารถผลิตกรวยจราจรจากยางธรรมชาติได้ น่าจะทำให้กรวยจราจรนั้นยืดหยุ่น และทนทานมากขึ้น จึงได้ติดต่อกับทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช.
ดร.ภาสรี เล้ากิจเจริญ
จากนั้นจึงได้ร่วมทดสอบผลิตภัณฑ์ และรับถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก นำมาสู่การผลิตและได้จัดจำหน่ายกรวยยางชนิดใหม่นี้เรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้กำลังดำเนินการเพื่อจดแจ้งผลิตภัณฑ์กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก ให้อยู่ในบัญชีนวัตกรรมไทยอีกด้วย บริษัทได้การตอบรับจากผู้ใช้เป็นอย่างดี จึงได้เพิ่มการผลิต กรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก อย่างต่อเนื่อง จึงเห็นได้ว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการผลิต ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก นี้ส่งผลให้บริษัทเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการตลาดได้มากขึ้นอีกด้วย
ดร.ภาสรี เล้ากิจเจริญ นักวิจัยเอ็มเทค สวทช. กล่าวว่า เทคโนโลยีการผลิตยางผสมพลาสติก หรือ ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก เป็นการผสมยางธรรมชาติและพลาสติกเข้าด้วยกันในเครื่องอัดรีดสกรูคู่ ร่วมกับเทคนิคไดนามิกวัลคาไนเซชันทำให้ได้ยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก เมื่อนำไปฉีดขึ้นรูปด้วยเครื่องฉีดพลาสติก จึงได้ผลิตภัณฑ์กรวยจราจรที่มีลักษณะและผิวสัมผัสเหมือนยางซึ่งมาจากส่วนผสมยางธรรมชาติ 30 เปอร์เซ็นต์
ต่อมา ได้ร่วมทดสอบกับบริษัท ธนัทธร จำกัด ประมาณ 1 ปี และได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับบริษัทฯ แล้ว และบริษัทฯ กำลังเดินหน้านำไปผลิตตามมาตรฐานทันทีอีกกว่า 7 ตัน โดยผู้ประกอบการได้ซื้อยางแท่งจากการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) มาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมการใช้งานและแปรรูปยางพาราในประเทศไทย ซึ่งกรวยจราจรชนิดใหม่นี้ทนต่อการฉีกขาด และทนทานต่อการแตกหักได้สูงขึ้นเนื่องจากมีส่วนผสมของยางพารา นอกจากนั้น ยังสามารถขึ้นรูปได้สะดวก รวดเร็วขึ้นแกะชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ได้ง่าย ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และยังเกิดของเสียในกระบวนการผลิตน้อยลง
วษุวัต บุญวิทย์
“นวัตกรรมกรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติกนี้ นอกจากเพิ่มความทนทานต่อการแตกหัก และพับงอ ยังทำให้กรวยจราจรยึดเกาะพื้นผิวถนนได้ดีขึ้น เพราะน้ำหนักที่มากขึ้นราว 0.2 กิโลกรัมต่อชิ้น และมียางพาราหรือยางธรรมชาติที่ยืดหยุ่นเป็นส่วนผสม อีกประเด็นที่สำคัญคือ การเลือกใช้งานวัสดุประเภทยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติกนี้ ยังสามารถทำให้ขึ้นรูปและนำกลับมาใช้ใหม่ได้เหมือนพลาสติก ถือว่าสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) ตามนโยบาย BCG Economy Model ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าการใช้ยางพาราในประเทศ โดยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากยางพาราและส่งเสริมอุตสาหกรรมปลายน้ำอีกด้วย” ดร.ภาสรีกล่าว
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า กยท.ได้ส่งเสริมการใช้ยางพาราในประเทศ รวมถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยางเพื่อเพิ่มมูลค่าโดยที่ผ่านมา กยท. ดำเนินโครงการและกิจกรรมที่สนับสนุนให้มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มขึ้น ได้แก่ การสนับสนุนเงินทุนให้สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางและผู้ประกอบกิจการยางการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมต่างๆ รวมถึงการสนับสนุนทุนวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปยาง เช่นครั้งนี้ กยท. สนับสนุนและส่งเสริมโครงการจัดทำ (ร่าง) มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของกรวยจราจรยางธรรมชาติเทอร์โมพลาสติก ให้แก่ เอ็มเทค สวทช.ในปี 2565 นี้ ถือเป็นการนำยางพาราเข้าไปทดแทนพลาสติกซึ่งเป็นวัสดุพอลิเมอร์ที่มาจากปิโตรเคมี ถึง 30% โดยน้ำหนัก ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากการบูรณาการร่วมกันระหว่างหลายหน่วยงาน
ขณะนี้ กยท. มีนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจยางพาราโดยวางแนวทางการพัฒนายางพาราสู่ความยั่งยืน ลดความเสี่ยงเรื่องผลผลิต รวมถึงปรับปรุงวิธีการทำสวนยางของเกษตรกรรายย่อยในประเทศ ให้เป็นไปตามแนวทางที่ถูกต้องและมาตรฐานสากล เพื่อให้ผลผลิตยางของไทยเป็นที่ยอมรับและเป็นที่ต้องการในตลาด ซึ่งปัจจุบัน กยท. ดำเนินกิจกรรม Rubber Way โดยมุ่งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสวนยางรวมถึงตัวเกษตรกรเองให้ตรงตามมาตรฐานและความต้องการของบริษัทผู้ผลิตล้อยางรายใหญ่ เบื้องต้น กยท. ได้ลงนามความร่วมมือกับบริษัทมิชลินแล้ว ซึ่งถือเป็นการสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถและโอกาสด้านการแข่งขันทางธุรกิจ เกิดความมั่นคงด้านรายได้แก่เกษตรกร
“การพัฒนายางพาราตลอดห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่คุณค่า เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันโดยใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการตระหนักรู้ในเรื่องสิ่งแวดล้อม ถือเป็นประเด็นระดับโลกที่ทุกภาคส่วนควรกำกับดูแลการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในอุตสาหกรรมยางธรรมชาติ ตั้งแต่การบริหารจัดการและสร้างมาตรฐานภายในสวนยาง (ต้นน้ำ) ไปจนถึงกระบวนการผลิตในโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา (ปลายน้ำ) สอดคล้องกับนโยบาย BCG MODEL ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์คือการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล (Green Economy) ก่อให้เกิดความยั่งยืนกับยางธรรมชาติทั้งห่วงโซ่อุปทาน” ผู้ว่าการ กยท. กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี