อุบัติเหตุทางถนนเป็น 1 ใน 3 อันดับแรกของปัญหาสาธารณสุขของไทย จำนวนผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต และผู้พิการมีจำนวนมากทุกปี ข้อมูลจาก Global Status Report on Road Safety 2018 ขององค์การอนามัยโลกไทย จัดอันดับไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นอันดับ 9 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในเอเชีย โดยเฉพาะการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกิดจากจักรยานยนต์ของไทยสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก
ซึ่งการลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)” มีบทบาทสำคัญเนื่องจากเข้าใจบริบทของพื้นที่ โดยเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อออกแบบและวางแผนขับเคลื่อนตำบลขับขี่ปลอดภัยโดยชุมชนท้องถิ่น ณ รร.มิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ โดยช่วงหนึ่งได้เชิญตัวแทนผู้นำท้องถิ่นมาร่วมบอกเล่าประสบการณ์และบทเรียนที่ได้รับจากการผลักดันประเด็นความปลอดภัยทางถนน
สมเกียรติ คำแสนยศ ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทรายขาว อ.พาน จ.เชียงราย เล่าว่า อำเภอพานเปรียบเป็นประตูเข้าสู่จังหวัดเชียงราย เพราะฉะนั้นจะมีนักเดินทางเป็นจำนวนมาก เนื่องจากตัดผ่านถนนพหลโยธิน ซึ่งเป็นถนนสายหลักและถนนค่อนข้างจะเป็นทางตรงยาวและมีชุมชนทั้ง 2 ฝั่งถนน จึงมีชาวบ้านสัญจรเป็นประจำและเกิดอุบัติเหตุเป็นประจำ
“ในตำบลทรายขาว อำเภอพานมีเขตรับผิดชอบทั้งหมด 9 กิโลเมตร จากสถิติอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นปี 2564 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นทั้งหมด 87 ครั้ง ส่วนเกิดเหตุบนถนนพหลโยธินมากถึงร้อยละ 65 ซึ่งปัญหาอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก 1.เมาแล้วขับ 2.ความเมื่อยล้าในการเดินทาง และ 3.คนในชุมชนฝ่าฝืนกฎจราจร แต่สาเหตุหลักที่ค้นพบ คือคนใช้เส้นทางในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นคนในชุมชนข้ามถนน คนใช้รถบนถนนที่ไม่คุ้นเส้นทาง และความมักง่ายของคนในชุมชน” ปลัด อบต.ทรายขาว กล่าว
สมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า การแก้ปัญหาจะมีส่วนที่ อบต. ดำเนินการได้ทันที เช่น ปรับปรุงถนน ซ่อมแซมไฟส่องสว่าง เป็นต้น นอกจากนี้ยังต้องหารือหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างถูกจุด และในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลังมาถึง จะมีการตั้งจุดจับความเร็ว เพื่อให้คนที่ใช้ความเร็วเกินกำหนดได้ชะลอความเร็ว ส่วนถนนในชุมชนมีการร่วมมือกับผู้นำชุมชนจัดชุดลาดตระเวน เพื่อห้ามปรามพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
ภัทรพล บัญชาจารุรัตน์ นายกเทศมนตรีตำบลกุดจิกอ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา กล่าวว่า จากสถิติเมื่อต้นปี 2564 อุบัติเหตุจนเสียชีวิตสูงที่สุดคือ จังหวัดนครราชสีมา โดยมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากถึง 34 ราย จาก 538 รายทั่วประเทศซึ่งอยู่ในพื้นที่อำเภอสูงเนินส่วนใหญ่ ซึ่งการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่จะต้องผ่านสถานการณ์ต่างๆ เช่น ผ่านภูเขา ผ่านรถติด เป็นต้น แต่พอขับขี่มาถึงอำเภอสูงเนินการจราจรเริ่มสะดวก จึงทำให้ใช้ความเร็วในการขับขี่ยานพาหนะมากขึ้น ประกอบกับร่างกายที่เมื่อยล้าและเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง
แต่ช่วงเวลาปกติอำเภอสูงเนินก็เกิดอุบัติเหตุสูงเช่นกัน จากสถิติของสถานีตำรวจภูธรสูงเนินในปี 2564 จนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา พบว่าเกิดอุบัติเหตุมากถึง 371 ครั้ง เนื่องจากอำเภอสูงเนินมีเขตอุตสาหกรรม จึงทำให้มีคนใช้รถใช้ถนนเป็นจำนวนมาก โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุเกิดจากสภาพความพร้อมของคน เช่น ความเหนื่อยล้า เมาแล้วขับความประมาท เป็นต้น ส่วนเรื่องของรถและถนนเป็นเรื่องรองลงมา
นายกเทศมนตรีตำบลกุดจิก ยังเปิดเผยว่า สำหรับการแก้ปัญหาในพื้นที่เป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.ช่วงเทศกาล ได้มีการประชุมเพื่อหามาตรการให้รัดกุมมากขึ้น มีการติดตั้งเตือนต่างๆ และเพิ่มการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้คนในพื้นที่ระวังอุบัติเหตุ นอกจากนี้ขอความร่วมมือกับแขวงการทางเพื่อปิดจุดกลับรถ และประสานทางตำรวจให้มาอำนวยความสะดวกในจุดกลับรถที่จำเป็น
“ในช่วงเวลาปกติ เนื่องจากพื้นที่ตำบลกุดจิกมีโรงงานเป็นจำนวนมาก จึงขอความร่วมมือจากโรงงานในพื้นที่ให้อบรมคนขับรถใช้กฎจราจร เช่น ห้ามขับรถย้อนศร ห้ามลัดทาง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีจิตอาสากู้ภัยมาประจำจุดเสี่ยงในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือดูแล ส่วนภายในชุมชมใช้การประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้กับผู้นำชุมชน และมีการตั้งด่านภายในชุมชน เพื่อตรวจใบขับขี่ หมวกนิรภัย และตรวจสารเสพติด ซึ่งเป็นการปราบปรามเพื่อให้ระวังอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล จึงทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนเพื่อระวังอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดี” ภัทรพล กล่าว
วิศิษฐ์ สังข์สุวรรณ ปลัด อบต.บ้านในดง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี กล่าวว่า ตำบลบ้านในดงอยู่ติดกับถนนเพชรเกษมฝั่งล่องใต้ แต่พื้นที่ถนนจะเป็นทางหลวงชนบท 2 เส้นหลักที่พาดผ่านประมาณ 5 กิโลเมตร และเป็นถนนทางหลวงชนบทที่เชื่อมต่อ 3 ตำบล จากสถิติพบว่าอุบัติเหตุในพื้นที่ส่วนใหญ่เกิดตรงสี่แยกที่ถนนตัดผ่านถนนเพชรเกษม และตรงสามแยกที่เชื่อม3 ตำบล โดยใน 1 ปีมีอุบัติเหตุในพื้นที่มากถึง 31 ครั้ง เสียชีวิต3 ราย บาดเจ็บ 35 ราย ซึ่งเกิดจากความประมาท เมาแล้วขับ และยังพบอีกว่าพาหนะไม่พร้อม เช่น ไฟท้ายขาด เป็นต้น
“การแก้ปัญหาในพื้นที่ตำบลบ้านในดง เรื่องของถนนจะมีงบประมาณในการแก้ไขถนนที่มีจุดเสี่ยง นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งป้ายเตือนต่างๆ และซ่อมแซมไฟส่องสว่างให้ใช้งานปกติ ในส่วนการแก้ปัญหาของตัวบุคคลจะทำค่อนข้างยาก เนื่องจากมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังใช้หลักการมีส่วนร่วมของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ปัญหาเมาแล้วขับอย่างไร จึงได้เกิดการใช้บุคคลต้นแบบในการปฏิญาณตน เพื่อที่จะเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอดชีวิต ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เลิกแอลกอฮอล์ได้เป็นอย่างดี” ปลัด อบต.บ้านในดง กล่าว
ยุทธนา รัตนมณี หัวหน้าฝ่ายบริหารงานสาธารณสุข เทศบาลตำบลวังไผ่ อ.เมืองชุมพร จ.ชุมพร กล่าวว่า จังหวัดชุมพรเป็นประตูสู่ภาคใต้ ซึ่งตำบลวังไผ่จึงเกิดอุบัติเหตุเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีถนน 2 สายหลัก คือ ถนนสาย 4 และถนนสาย 41 ที่สามารถไปสู่จังหวัดอื่นได้ จากสถิติพบว่า ใน1 วันจะเกิดอุบัติเหตุถึง 4-5 รายต่อวัน ซึ่งในปี 2564 เสียชีวิตไปแล้ว 5 ราย สาเหตุเกิดจากการขับขี่ที่มีความคึกคะนองเห็นแก่ตัว นอกจากนี้ในพื้นที่ไม่มีสะพานลอยให้คนข้าม การเดินข้ามถนนจึงเป็นส่วนหนึ่งในการเกิดอุบัติเหตุ
“การแก้ปัญหาของพื้นที่จะเป็นการใช้การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหา โดยใช้ประชาคมหมู่บ้านร่วมกันเสนอปัญหา และเสนอความปลอดภัยบนถนนที่ต้องการของคนในชุมชน เพื่อให้ผู้นำท้องถิ่นแก้ปัญหาได้อย่างถูกจุด โดยใช้ความจริงใจกับชาวบ้าน ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นผู้นำท้องถิ่นจะต้องแก้ไขได้จึงทำให้ชุมชนอยากร่วมแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุด้วย” ยุทธนา กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี