อันว่า “การลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ยิ่งทำได้เร็วเท่าไหร่ ชีวิตตัวเอง และคนรอบข้างก็มีแต่ดีขึ้น เจริญขึ้นเร็วเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้จากหลายกรณีตัวอย่างที่ออกมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟัง ล่าสุดมี 3 ท่านที่เข้ามาร่วมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จัดโดยมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัวเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชนภาคเหนือ เครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระหว่างวันที่ 18-21มกราคม ที่ผ่านมา เมื่อฟังแล้วก็อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังในวงกว้างถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองจาก “ปีศาจสุรา” ขึ้นมาเป็น “คนใหม่”
เริ่มกันที่ “ลุงศรี” หรือ นายบุญศรี ใจมะโน อายุ 64 ปีชายผู้มีอาชีพคนขับรถสองแถวแดงเชียงใหม่ เล่าให้ฟังว่าตัวเองเป็นชาวอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มดื่มสุราตั้งแต่อายุ 13 ปี เรียกว่านมยังไม่แตกพานก็ซดเหล้าเป็นแล้ว เริ่มจากเหล้าต้ม สาโท มีอะไรก็ผสมกันลงไป เสียงพลุดังเมื่อไหร่นั่นก็เป็นสัญญาณการต้มเหล้า จากนั้นมาก็ดื่มเหล้าหัวราน้ำทุกวัน ทุกเทศกาล ต้องเมาหยำเป ยิ่งจังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีเทศกาลเยอะ อากาศเย็นสบายก็ยิ่งกระตุ้นให้อยากดื่มดื่มทุกวัน วันละ 2 ขวดครึ่ง เมาได้ที่แล้วทะเลาวิวาท อวดว่าตัวเองเก่งฉลาด
ยิ่งในสมัยนั้นในพื้นที่มีการประกวดดื่มเหล้า แล้วตัวเองติด 5 อันดับแรกที่ดื่มเหล้าเก่ง ยิ่งทำให้รู้สึกฮึกเหิม ดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เรียนจบแค่ชั้น ม.3 พออายุได้ 22 ปี ก็เริ่มขับรถสามล้อรับจ้าง พอได้เงินมาก็หมดไปกับการดื่มเหล้า จนคนรอบข้างเมินหน้าหนี แต่ยังไม่สำนึก ยังกินเหล้าแล้วมาขับรถรับจ้างทั้งๆ ที่อยู่ในอาการมึนเมาทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เงินเก็บก็ไม่มี จนเปลี่ยนมาเช่าขับรถโดยสารประจำทาง 4 ล้อ จากนั้นจึงมีภรรยา และมีลูกด้วยกัน
ทั้งนี้ ระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ตนก็ยังดื่มเหล้าตามปกติ แถมยังเข้าสู่วงจรการพนันทุกรูปแบบ ทั้งการพนัน มวย ไพ่ ไฮโล ตบตีทำร้ายร่างกายภรรยาเป็นประจำ จนภรรยาต้องจำใจยกลูกให้พี่สาวไปเลี้ยงเพราะกลัวว่าเราจะเลี้ยงลูกไม่รอด
“ชีวิตตอนนั้นไม่สนใจอะไรเลย เอาทุกอย่าง เหล้า การพนัน มวย ไพ่ ไฮโล ได้เงินมาเอาไปกินเหล้า ภรรยาขัดใจ ทำร้ายร่างกาย ตบตีกันประจำ มีครั้งหนึ่งที่เคยจับลูกเป็นตัวประกัน เอาสายไฟรัดคอลูกกับตัวเองเพราะทะเลาะกับภรรยา และอีกเหตุการณ์ คือ เมาแล้วอุ้มลูกเข้าห้องน้ำลื่นล้มฟาดพื้น ดีที่ลูกไม่เป็นอะไรมาก” ลุงศรี กล่าว
กระทั่งผ่านมาเกือบปีได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้เข้าค่ายอบรมโครงการลด ละ เลิกเหล้าลดความรุนแรง ทำให้เริ่มมองเห็นข้อเสียของการดื่มเหล้า จึงค่อยๆ ลดการดื่มลง โดยปลีกตัวออกห่างจากเพื่อนที่ดื่มเหล้าแล้วเริ่มหันหน้ามาคุยกับลูกเมียมากขึ้นในยามที่เราครองสติได้แบบคนทั่วไป จนถึงตอนนี้สามารถเลิกเหล้าได้อย่างเด็ดขาดต่อเนื่องกันมานานกว่า 19 ปีแล้ว มุ่งแต่ทำงาน เปลี่ยนค่าเหล้าเป็นเงินเก็บ วันละ 60 บาท ตอนนี้สะสมได้ 4 แสนกว่าบาท สามารถซื้อรถยนต์ได้ 1 คัน กู้ซื้อบ้าน 1 หลัง มีที่ดินเป็นของตัวเอง และสามารถส่งลูกจนเรียนจนจบปริญญาตรี มีธุรกิจซื้อขายมอเตอร์ไซค์ และซื้อรถให้ลูกสาว 1 คัน ที่สำคัญคือสุขภาพดีขึ้นแน่นอน
“ถ้าเรายังดื่มเหล้าใช้ชีวิตแบบเดิมๆ คงไม่มีวันนี้ และสิ่งที่ทำให้ผมสามารถเลิกเหล้าได้ สิ่งสำคัญเลยคือครอบครัวญาติ คนรอบข้าง ผมต้องขอขอบพระคุณที่เตือนสติให้เลิกเหล้าจนสิ่งดีๆ เข้ามาหาเรา ครอบครัว ลูก ภรรยาหันหน้าเข้าหากันใส่ใจกันมากขึ้น ถ้อยทีถ้อยอาศัย นี่คือกำลังใจที่สำคัญโดยเฉพาะกำลังใจจากลูก” ลุงศรี กล่าว
นอกจากนี้ ลุงศรี ยังบอกอีกว่า หลังจากชีวิตตนดีขึ้นได้เพียงแค่เลิกเหล้า จึงอยากเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงที่จะชักชวนคนที่ยังดื่มเหล้าอยู่ให้ลด ละ เลิก คืนชีวิตที่มีคุณภาพให้กับตัวเองเป็นอันดับแรก เพื่อจะได้มีพละกำลังในการสร้างครอบครัวที่ดี และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคม ประเทศชาติต่อไป ยึดคติ “เหล้าคือศัตรู” ฉะนั้นอย่ายอมแพ้ให้ศัตรู
ในโอกาสเดียวกันนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบกับอาชีพรถแดงมาก เพราะไม่มีผู้โดยสาร ไม่มีนักท่องเที่ยว แม้ระยะหลังสถานการณ์เริ่มดีขึ้นเริ่มมีนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้ว แต่ลุงศรียังขอใช้เวทีนี้เพื่อส่งผ่านข้อเรียกร้องไปถึงรัฐบาลให้ช่วยดูแลเยียวยาคนที่ประกอบอาชีพรถรับจ้างด้วย เพราะทุกอาชีพก็กระทบไม่ต่างกัน
ด้าน นายเพชร ยอมธง อายุ 59 ปี อาชีพขับรถแดงในเมืองเชียงใหม่ ผู้เป็นทั้งเพื่อนร่วมอาชีพ และพี่น้องที่รู้จักกันมานาน ออกปากยอมรับนับถือในน้ำใจลุงศรีคนนี้ เพราะนับตั้งแต่ที่ชักชวนให้ตัวเองให้เข้าสู่การเลิกเหล้า ลุงศรีก็คอยช่วยเหลือ ให้กำลังใจในการใช้ชีวิต คอยอยู่เคียงข้าง ในช่วงวิกฤตของการปรับตัว จนตนสามารถปรับพฤติกรรมได้ดื่มเหล้าน้อยลง ปัญหาต่างๆ ที่เคยเกิดจากความเมามายก็ลดลงตามไปด้วย ชีวิตตอนนี้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงตั้งใจว่าจากนี้เป็นต้นไป จะไม่ประมาท จะมีสติ ดื่มน้อยลง และหันมามองคนรอบข้าง อยู่ดูแลใส่ใจให้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น
ขณะที่ พระสุราษฎร์ เตชะวโร ก็ได้บอกเล่าประสบการณ์ชีวิตโชกโชนก่อนบวชเรียนมาให้ฟังเพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับประชาชนจะได้ไม่หลงผิด โดยเล่าว่าเป็นคนใต้ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นมาอย่างโชกโชน ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน ทำตัวเสเพล อยู่ในวงจรสีเทา ก่อนจะทำงานและย้ายถิ่นฐานมาปักหลักที่จังหวัดเชียงราย แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตเสเพลเช่นเดิม มีเงิน มีอำนาจ ก็หาความสุขให้ตัวเอง กิน ดื่ม เที่ยวทุกวัน จนเกิดอุบัติเหตุหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เข็ดหลาบ
แต่ครั้งที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปคือ วันหนึ่งได้ดื่มเหล้าแล้วขับรถชนนักศึกษาเสียชีวิต 2 ราย ตอนแรกๆ ยังคิดที่จะสู้คดี ประกอบกับมีคนมากมายที่ให้คำแนะนำว่า “สู้ได้” แต่เมื่อได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีสติแล้วคิดว่าการที่เราดื่มแล้วขับรถเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย โดยยอมรับผลตัดสินทุกอย่างเพราะการยอมรับผิดจะเป็นสิ่งที่จะช่วยเยียวยาให้กับครอบครัวผู้สูญเสียได้ แม้จะเทียบไม่ได้กับชีวิตที่ต้องเสียไปก่อนวัยอันควร
ถึงกระนั้น ก็ยังรู้สึกทุกข์ใจ และรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอด จึงตัดสินใจบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเยาวชนทั้งสอง และขอใช้โอกาสนี้ผันตัวในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ เพื่อใช้ในการเผยแพร่เรื่องราวดังกล่าวให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจคนในสังคม
“อยากฝากเตือนสติกับคนที่ยังดื่มแล้วขับว่า ขอให้หยุดพฤติกรรมแบบนี้ เพราะมันไม่ได้เดือดร้อนแค่เราคนเดียวแต่มันสร้างความสูญเสียกับคนที่เขาไม่ได้รู้เรื่องและครอบครัวเขาก็ต้องมาเดือดร้อนด้วย ขอให้เรื่องของอาตมาได้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ อย่าเดินซ้ำเส้นทางนี้” พระสุราษฎร์ กล่าว
ขณะที่ นายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัวกล่าวว่า การจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบนี้ เป็นการจัดการศึกษาที่ไม่จำเป็นต้องมีหมอ อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือผู้รู้ใดๆ มาชี้แนะ เป็นการนำประสบการณ์จริงของคนที่ผ่านพ้นเรื่องราวเหล่านี้มาแล้ว ให้มาร่วมแลกเปลี่ยนกับคนที่เข้าร่วมแบบตัวเป็นๆ มีการซักถามกันเต็มที่ทำให้ได้รับรู้ถึงปัญหาที่ตามมาของแต่ละคน ซึ่งเขาเหล่านั้นได้แลกมันมาแล้ว นี่จึงเป็นอีกหนึ่งในหลายๆกระบวนการที่ทำงานกับคนให้ลดละเลิก ซึ่งเราจะพบว่าในเบื้องแรกทุกคนจะตั้งกำแพงไว้ก่อน โดยเฉพาะผู้เข้าร่วมที่กินดื่ม แต่เมื่อได้ผ่านกระบวนการไปสักระยะ ทุกอย่างจะค่อยๆซึมซับ แต่ก็ต้องทำงานอย่างต่อเนื่องไม่ใช่จัดเวทีแล้วจบ
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากประสบการณ์ของแต่ละท่านที่นำมาถ่ายทอดในครั้งนี้ก็คือ การลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอลฮอล์ ถือเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เกิดความสุขความเจริญ ไม่เฉพาะแต่ตัวของผู้ปฏิบัติเท่านั้น แต่ยังแผ่ขยายไปถึงครอบครัวและคนรอบข้างอีกด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี