วันพฤหัสบดี ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ข่าว Like สาระ
'หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท' เล่าเรื่องบุญฤทธิ์ของ 'พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต' หลังละสังขาร

'หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท' เล่าเรื่องบุญฤทธิ์ของ 'พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต' หลังละสังขาร

วันพฤหัสบดี ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565, 18.29 น.
Tag : ผ้าขี้ริ้วห่อทอง พ่อท่านลี พุทโธ ภาวนา หลวงปู่ขาว หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่มั่น
  •  

(ต่อจากตอนที่แล้ว) แล้วคืนวันพฤหัสบดี แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หลวงปู่เจี๊ยะ นิมิตเห็นท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าว่า "ในนิมิตนั้นท่านงดงาม ชัดเจนมาก เหมือนกับว่าท่านอยากจะมาแสดงอะไรบางอย่างให้เรารู้ ประหนึ่งจะเป็นเครื่องแสดงว่า ท่านจะลาโลกลาสงสารเข้าสู่แดนวิมุตติอันเป็น อนุปาทิเสสนิพพาน คือการดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือเข้าสู่ทาง สายเอกคือ วิสุทธิธรรมล้วนๆ"

หลวงปู่ท่านเล่าว่า ท่านพระอาจารย์มั่น ตนเคารพรักท่าน เป็นที่สุด ชีวิตจิตใจนี้มอบให้ได้เลย ไม่เสียดายถ้าท่านต้องการ เพราะท่านเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณ (ธรรม) ล้นเกล้าล้นกระหม่อมจริงๆ


“การที่พระสาวกมีพระอานนท์ เป็นต้น กล้าพลีชีพแทน พระพุทธเจ้าในขณะที่ช้างนาฬาคีรีกระโจนตกมันมา เพื่อจะทำลายพระพุทธองค์ พระอานนท์ก็เอาชีวิตของท่านเข้าขวางกั้นไว้ ก็เพราะความถึงใจด้วย สายใยแห่งธรรม อย่างนี้เอง เราเคารพในท่านพระ อาจารย์มั่น ก็ตั้งใจอย่างนั้นเหมือนกัน”

“ถ้าเรื่องของท่าน ใครอย่ามาแตะ มาว่า เราไม่ยอม ตอนอยู่กับท่าน หน้าที่อะไรก็ตาม ต้องทำให้ดีทั้งหมด ให้สะอาดเรียบร้อย และทำให้ได้ดี ถ้าไม่ดี ทำมันจนตีจนพอใจ ถึงจะยอมหยุด”

เมื่อเกิดนิมิตในตอนกลางคืน ขณะภาวนาก็ประหวัดๆ ภายในใจเสมอๆ เหมือนจะมีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกี่ยวกับองค์ท่าน ในตอนเช้าวันนั้นได้ออกจาริกเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต ได้ถามลุงกาย ทันทีว่า “ลุงกาย...มีข่าวหลวงปู่มั่นบ้างมั้ย?” ลุงกายบอกว่า “ไม่ ครูบา...” แต่หลวงปู่ท่านมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอยู่ภายในใจลึกๆ

กลับจากบิณฑบาตนั่งฉันอยู่สักประเดี๋ยว ท่านพระครูรัตน โสภณ เจ้าคณะอำเภอให้โยมเดินทางมาบอกว่า “ข่าววิทยุออก บอกว่าหลวงปู่มั่นมรณภาพแล้ว ตั้งแต่เมื่อคืนนี้”

หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าว่า “พอว่าท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพเท่านั้นแหละ เราลุกขึ้นจากที่ฉันข้าวทันที เดินดิ่งหลบไปทางด้านหลัง ปลงธรรมสังเวชสุดที่จะอธิบายได้” จิตก็หวนรำลึกคำพูดของท่านว่า “อายุ ๘๐ ปี ท่านจะตาย”

“ดับแล้วท่านผู้ทรงคุณอันประเสริฐ พ่อแม่แห่งวงศ์พระกรรมฐาน นับจากกึ่งพุทธกาลนี้อีกต่อไป ท่านผู้ทรงคุณเช่น พระอาจารย์มั่นนี้ จะไม่มีประดับโลกอีกแล้ว ท่านผู้มีบุญอย่าง พระอาจารย์มั่นนี้ เป็นบุตรของใคร เป็นเพื่อนของใคร เป็นพี่เป็นของใคร เป็นศิษย์ของใคร เป็นอาจารย์ของใคร เกิดในประเทศใด หรือจะอยู่ที่แห่งหนตำบลใด สถานที่นั้นหรือบุคคลนั้นที่เกี่ยวข้องต้องเย็นใจ สบายใจ สุขใจและเพลินใจ”

เมื่อทราบข่าวดังนั้น หลวงปู่เจี๊ยะก็รีบขึ้นรถไฟกลับทันที ในระหว่างที่เดินทางกลับมานั้นตั้งใจไว้ว่า ก็จะต้องเข้าไปหาท่านพ่อลี ที่วัดป่าคลองกุ้งก่อน เพื่อว่าท่านจะสั่งให้ทำอะไรเป็นพิเศษ

หลวงปู่เจี๊ยะไปถึงก็ค่ำแล้ว ทราบว่าท่านพ่อลีท่านนั่งรออยู่ ยังไม่ยอมลงปาฏิโมกข์ ทั้งๆที่ไม่ได้กราบเรียนล่วงหน้าว่าจะมาหาท่าน หลังจากนั้นท่านพ่อลีก็สั่งให้ หลวงปู่เจี๊ยะ ท่านเฟื่อง โชติโก และท่านเจือ สุภโร เดินทางไปร่วมงานศพท่านพระอาจารย์มั่นก่อน แล้วท่านจะเดินทางตามไปทีหลัง

*มรณา-สังฆานุสติ

เมื่อไปถึงงานศพท่านพระอาจารย์มั่น หลวงปู่เจี๊ยะก็เข้าไป กราบคารวะศพท่านทันที ระลึกถึงบุญคุณที่ท่านอบรมสั่งสอนมา สุดที่จะอดกลั้นทานน้ำตาไว้ได้ หลวงปู่ท่านกล่าวเบาๆ ว่า “กรรมใดอันที่เกล้าฯล่วงเกิน ขอครูบาอาจารย์จงโปรดอโหสิกรรม”

จักร คือ ธรรมอันประเสริฐที่ท่านพระอาจารย์มั่นได้หมุน เพื่อสานุศิษย์ บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งขันธ์ที่กำลังจะมอดไหม้ ยนต์ คือ สรีระ อันมีจักร ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน มีทวาร ๔ คือ ตา ๒ หู๒, จมูก ๒. ปาก ๑, ทวารหนัก๑ทวารเบา๑ หยุดการเล่นแล้วเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน อันเป็นแดนเกษม ทวารหนัก ๑, ทวารเบา ๑ หยุดการแล่นแล้ว เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน อันเป็นแดนเกษม

ปัญญาภิสังขารที่เหลือไว้นี้เป็นเพียง มรณา-สังฆานุสติ เป็นที่ระลึกกราบไหว้บูชา พระศาสดาและพระสาวกอรหันต์ทั้งหลาย ล่วงไปแล้ว ล่วงไปสู่แดนอมตะธรรม ไม่ต่ำไม่สูง ไม่ใกล้ไม่ไกล หากดวงใจที่บริสุทธิ์ครอง

พระบรมศาสดาตรัสแล้วไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่านทั้งหลายไว้ว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเกิด

ภิกษุทั้งหลาย ธรรมวินัยใดที่เราแสดงและบัญญัติไว้แล้ว ธรรมและวินัยนั้น จะเป็นศาสดาของเธอเมื่อเราล่วงไป”

หลวงปู่เจี๊ยะท่านกล่าวว่า ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเป็นพุทธสาวก ไม่กลับมาหลงโลกที่เคยเกิดตายอีกต่อไป ไตรโลกธาตุทั้งหมดนี้ประมวลลงในไตรลักษณ์ ที่หมุนไปด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใครมีปัญญาเรียนถึงอย่างที่ท่านสอน ก็ไม่ต้องกลับมานอนทอดถอนใจ เดินตามหลังท่านไปสู่พระนิพพาน

*อริยเจ้าในดวงใจ

ในระหว่างที่ช่วยงานศพท่านพระอาจารย์มั่นนั้น หลวงปู่ท่านเล่าว่า มีพระเณรหลั่งไหลมาจากทิศานุทิศ ประชาชนญาติโยมมาคารวะศพมิได้ขาด ทุกๆคนที่เข้ามา ล้วนห่อข้าวมากินเอง คาราวานเกวียนจอดเต็มรอบๆ บริเวณวัดสุทธาวาส หามุ่งหาเสื่อ เพื่อมานอนจุดตะเกียงจุดไฟกันเอง หุงหาอาหารกินกันเอง

แล้วตอนเช้าๆ เตรียมหาอาหารใส่บาตรพระ เป็นนิมิตแห่งชัยชนะด้วยบุญญานุภาพอย่างแท้จริง ทุกอย่างเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ทุกคนล้วนแต่มีน้ำตาอาลัยความดีของท่านพระอาจารย์มั่น เป็นน้ำตาสดุดีสังฆปฏิบัติ

ตอนนั้นท่านเป็นพระหนุ่มน้อยอยู่ก็ได้รับคำสั่งจากท่านพระอาจารย์ฝั้นให้ไปดูแลเรื่องน้ำ เพราะน้ำขาดแคลนมาก ใช้ญาติโยมและเณรเอาอีเต้อขุดจนมือแตก น้ำก็ไม่ออก

“เราคิดว่า รอช้าจะไม่ทันการณ์จึงจำเป็นต้องขุดบ่อเอง ในที่สุดน้ำก็ออกจนได้ใช้ตลอดงานเป็นเวลา ๓ เดือน”

และยังมีอีกหน้าที่หนึ่ง ที่ท่านพระอาจารย์ฟั่นมอบหมายให้ไปทำคือ จัดทำปะรำพิธี ดูแลเสนาสนะ และคอยไล่ต้อนพระเณรที่แอบ ไปดูหนังที่เขานำมาฉายอยู่ด้านนอกวัด

เวลาเขาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกในงานศพจึงไม่มีภาพของหลวงปู่เจี๊ยะ เพราะมัวแต่ทำงานยุ่งอยู่ไม่มีเวลาหยุดหย่อน

เรื่องแปลกในงานศพท่านพระอาจารย์มั่นคือ ไม่มีการขโมยของกันและกัน ไม่มีการตี ทะเลาะหรือฆ่ากัน ทั้งๆ ที่มีคนมาก ผู้คนก็ไม่ส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย ในบริเวณงานไม่มีคนดื่มสุราเมรัยมากวนใจในงาน พระเณรโดยส่วนมากบอกง่ายน่าเคารพเลื่อมใส

งานนี้นอกจากมนุษย์แล้วทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนเทพบันดาล เพราะอาหารการกินของใช้สอยกองเท่าภูเขาเลากา หลวงปู่ท่านเล่า ว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นที่ไหนมากเท่านี้มาก่อน นี้คือบุญฤทธิ์ของท่านพระอาจารย์มั่นโดยแท้

*บูชาคุณโยมแม่

ต้นปี ๒๔๙๓ เมื่อเสร็จงานศพท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว คณะกรรมฐานระยะนั้นเหมือนบ้านแตกสาแหรกขาด หมดที่พึ่งใหญ่ ก็ต่างองค์ต่างพยายามหาที่พึ่งน้อย อันหมายถึงลูกศิษย์ที่ท่านพระอาจารย์มั่นรับรอง

บางองค์ก็ไปกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม บางองค์ไปกับพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร บางองค์ไปกับหลวงปู่ขาว อนาลโย บางองค์ไปกับอาจารย์เทสก์ เทสฺรงฺสี บางองค์ไปกับท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน บางองค์ก็เข้าธุดงค์ในป่ากับครูบาอาจารย์ที่ตนเองเคารพนับถือ กระเส็นกระสายกันไปทั่ว แต่ต่างองค์ก็ต่างไปตามสายทางแห่งพระนิพพานเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น เป็นที่หมายสุดท้ายเหมือนกัน

ส่วนหลวงปู่เจี๊ยะท่านธุดงค์ย้อนกลับจังหวัดจันทบุรีกับท่านเฟื่อง เข้ามาพักที่วัดป่าคลองกุ้ง ทราบข่าวว่าโยมแม่ไม่สบาย ป่วยหนัก จึงเดินทางมายังวัดทรายงาม บ้านหนองบัว ช่วยโยมพ่อดูแลโยมแม่ เป็นพระทำอะไรไม่ได้มากนัก ส่วนมากก็ไปเป็นกำลังใจ ไป พูดธรรมะให้ฟังบ้าง

“ส่วนมากโยมแม่ไม่คอยฟังเพราะเห็นเราเอะอะเสียงดัง ก็คนนั้นทำอย่างนั้นไม่ถูก ทำอย่างนี้ไม่ถูก เราก็ดุเอาสิ โยมแม่เป็นคนเรียบร้อย พูดจาไพเราะ ชอบพระเรียบร้อย ส่วนเราก็เรียบร้อย แต่ เรียบร้อยตามนิสัยวาสนาอาภัพ”

หลวงปู่ท่านเล่าว่า อาการป่วยของโยมแม่รักษาเป็นปี อาการก็ไม่ดีขึ้น เพื่อเยียวยารักษาโยมแม่ให้หาย เงินทองมีเท่าไหร่ทุ่มลงหมด ไม่มีคำว่าเสียดาย ขอแต่เพียงโยมแม่หายเท่านั้นเป็นที่พอใจของลูกๆทุกคน ยานั้นต้องเดินทางมาซื้อถึงกรุงเทพฯ ต้องไปซื้อมากินเป็นประจำ ของหลวงมานิตย์ ต้องไปซื้อมากินเป็นประจำ

เมื่ออาการของโยมแม่ตีขึ้นบ้าง หลวงปู่เจี๊ยะก็เข้าไปหาท่านพ่อลี วัดป่าคลองกุ้ง กราบเรียนท่านที่จะไปภาวนาตามป่าตามเขา ดังที่เคยไปเสมอมา

ท่านพ่อลีจึงสั่งว่า "ท่านเจี๊ยะให้ท่านไปอยู่ที่เนินเขาแก้วแล้วนะ ที่นั่นวิเวกดี สัปปายะเหมาะ” เมื่อท่านพ่อสั่งอย่างนั้น หลวงปู่เจี๊ยะ ก็เดินทางไปอยู่ที่เนินเขาแก้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และโยมแม่ก็ได้เสียชีวิตเมื่ออายุได้ ๙๓ ปี วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ ส่วนโยมพ่อเสียชีวิตอายุ ๙๙ ปี วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๐

*ปฏิสังขรณ์วัดเขาแก้ว

หลวงปู่เจี๊ยะท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาแก้ว ในช่วงปี ๒๔๙๓ และเป็นผู้ที่ปรับปรุงปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ให้เป็นวัดที่มีสภาพมั่นคงขึ้น

หลวงปู่ท่านเล่าว่า เดิมวัดนี้ไม่มีอะไรถาวรนอกจากมีศาลาเพียงหลังเดียว นอกนั้นก็เป็นกุฏิชั่วคราว ความทรุดโทรมก็มีมาก หลวงปู่ท่านจึงติดต่อให้ญาติโยมผู้มีศรัทธาสร้างกุฏิถาวรถวาย สร้างด้วยคอนกรีต ๔ หลังมั่นคงถาวรมาก นับว่าในขณะนั้นมีเพียงวัดเดียวเท่านั้นในคณะกรรมฐานที่มีกุฏิตึกอยู่ ด้วยความสามารถของหลวงปู่เจี๊ยะนี้เอง

ต่อมาศาลาการเปรียญทรุดโทรมลง ท่านจึงจัดการสร้างศาลาการเปรียญขึ้นใหม่ หลังใหญ่โตมาก ในบรรดาศาลาด้วยกัน แล้วในจังหวัดจันทบุรี ต้องยกให้วัดเขาแก้ว เพราะเข้าไปในศาลา เหมือนเข้าไปในโบสถ์วัดพระแก้ว เพราะเยือกเย็นเหมือนกัน

พื้นที่ภายในบริเวณวัด ท่านก็พัฒนาการจนเป็นสถานที่น่าอยู่ น่าอาศัย มีผลไม้น่าดูชม เช่น เงาะ ทุเรียน กระท้อน ฯลฯ เดิมท่านพ่อลีมาปักกลดบริเวณเนินเขาแก้วนี้ ตรงนั้นมันเป็นต้นมะม่วง ไม้มะม่วงนั้นใบมันร่วงเพราะเป็นฤดูแล้ง ตามโคนต้นมะม่วงมีมดแดงและเต็มไปหมด ท่านพ่อลีปักกลดอยู่อย่างนั้นไม่ย้ายไปไหน

ตาสอนและยายทัตสองผัวเมียมาเห็นเข้า ก็นิมนต์ท่านพ่อว่า “ท่านพ่อ อยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอกมดแดงมันเยอะ ขอให้ย้ายไปตรงอื่นเถอะ”

พ่อท่านลีตอบไปว่า “ไม่ย้าย เราจะอยู่ตรงนี้ ถึงแม้นเอาข้าวของมาถวายตรงที่อื่นเราก็ไม่รับ เราจะอยู่ตรงนี้ ปักกลดตรงนี้แหละ

เมื่อสองตายายนำเอาอาหารข้าวของมาถวาย มดแดงมันก็มาเยอะแยะ ยิ่งเหยียบใบไม้ดังแกรก! แกรก! มดแดงมันมาใหญ่ทีเดียว กรูกันมา มดแดงมันมามากมายเหลือเกินเป็นกองทัพมด แต่มันไม่กัดท่านพ่อสักตัวเดียว

ท่านอยู่เป็นเพื่อนกันกับมด สักพักหนึ่ง มดมันก็ทยอยกันหนีเกลี้ยงอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อสองตายายเห็นอย่างนั้น ก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใส นับถือท่านพ่อลีมากขึ้น ก็เลยไปป่าวร้องให้คนทั้งหลายเข้ามาทำบุญกับพระผู้วิเศษ

ต่อมาจึงทำศาลาพักขึ้น แล้วค่อยสร้างวัดขึ้นมา ค่อยทำกัน เริ่มแรกมุงจาก เสาไม้ป่า ท่านพ่อลีก็อาศัยอยู่อย่างนั้น แล้วท่านก็อยู่ คนก็เลื่อมใส เขาก็มาช่วยสร้างวัดกันขึ้น ช่วยกันตัดไม้ป่ามาสร้าง ตัดไม้ไผ่ หลังคามุงจาก เริ่มจะเป็นวัดทีแรก เพราะว่าตาสอนและยายทัต สองคนผัวเมียบริจาคที่ตรงนี้ให้

*ขรัวในสายพระเนตร

หลังจากนั้นมา พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านพ่อลีก็มอบให้ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะมาอยู่แทน โบสถ์วัดเขาแก้ว หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็เป็นคนที่หิน ทุบหิน ทำเองไม่มีหยุดหรอก ท่านสำคัญมากในเรื่อง ทำงาน หินก้อนใหญ่ๆ ขน ตี ทำ ก่อสร้าง ท่านแข็งแรง

ท่านได้ผู้ใหญ่จ่าง รักศักดิ์ เป็นผู้อุปัฏฐากช่วยสร้างเพราะเขาเป็นคนมีเงิน เข้ามาช่วยท่านสร้างวัด เรื่องการก่อสร้างท่านที่สุด ไม้แผ่นใหญ่ๆ ไปหามาจากในดงลึกๆ ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้แดง ก็ขนมา ท่านเก่งทางนี้

ท่านก่อสร้างเสร็จ ท่านเป็นคนจีน ลูกคนจีน นิสัยท่านก็ไม่ค่อยจะสบอารมณ์กันกับผู้คน มาครั้งแรกสมเด็จพระนางเจ้ารำไพ พรรณี ท่านจะมาเอาที่ตรงนั้นทำวัง พระอาจารย์เจี๊ยะมาเริ่มสร้างใหม่ๆ เริ่มสร้างวัดเขาแก้วเป็นรูปร่าง ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะอยู่เป็นขรัว

พอเป็นขรัว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีก็เอาต้นโพธิ์มาปลูกไว้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ก็เริ่มจะเป็นเจ้าภาพวัด ภายในพระทัย คงคิดที่จะเป็นผู้อุปการะวัดเขาแก้ว ท่านเริ่มเข้าวัดและตั้งใจจะบูรณะวัดให้เจริญด้วย

วันหนึ่งเป็นวันเกิดท่านผู้หญิงผ่อง ผู้เป็นน้องสาวสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ท่านหญิงคิดปรารถนาจะเข้ามาทำบุญถวายพระ เข้ามากราบหลวงปู่เจี๊ยะที่ศาลา และพระทั้งหลายก็ลงมาพร้อมเพรียงกัน เมื่อหลวงปู่เจี๊ยะเข้ามานั่ง ก็ “ขาก....ถุยๆ” ทำอยู่อย่างนี้

ท่านผู้หญิงผ่องท่านก็ประทับอยู่ที่นั่น ก็มองๆ นึกตำหนิอยู่ภายในใจ เมื่อท่านผู้หญิงเสด็จกลับจึงเรียกผู้ใหญ่พา ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้นเข้าไปถามว่า “ผู้ใหญ่พา...ขรัววัดเขาแก้วทำไมท่านถึงเป็นอย่างนั้น กริยาท่าทางไม่เรียบร้อยเลย”

ใหญ่พาก็ตอบว่า “ท่านเป็นลูกคนจีนนะครับ ไม่ใช่จะเสียหายอะไร การเสียหายไม่มีเลย กิริยาของท่านนี้ไม่รู้จะทำยังไง การ ขาก...ถุยๆ ท่านนั่งนิ่งๆ ไม่ได้ ต้องขยับไหล่ งึกๆงักๆ อันนี้เป็นนิสัยประจำ ท่านเป็นยังไงก็อยู่อย่างนั้น ท่านไม่มีมายากับใครหรอกครับ

เรื่องการก่อสร้างการบริหารวัดนี้ ท่านเก่งมากขยันเหลือเกิน ขยันตัวเป็นเกลียว ทำเองถกเขมรทำคล่อง เสียอย่างเดียวกิริยาตรงนี้ แต่ใจท่านดีมากครับ”

*อัตตลักษณ์ไม่เหมือนใคร

ผู้ใหญ่พาก็กราบทูลต่อว่า “ท่านเป็นคนใจสำคัญนะครับ เป็นลูกคนจีน บ้านเดิมอยู่ที่หนองบัว ในการทำงานที่กระผมเห็นมา ไม่มีใครแข็งเท่าท่าน ความเพียรพยายาม โอ้!....ท่านตั้งใจทำเหลือเกิน ท่านเก่งเหลือเกิน ท่านไม่ใช่คนจนอนาถา ก่อนมาบวชท่านเป็นคนนักเลงอยู่ แล้วก็มาบวชเป็นลูกศิษย์ท่านพ่อลี ท่านพ่อลีไม่ใช่พระธรรมดา ท่านพ่อลีต้องมองลึกแล้วว่า หลวงปู่เจี๊ยะนี้ดีจึงมอบที่ตรงนี้ให้

ตั้งแต่ผมเห็นพระมา ขรัววัดเขาแก้วนี้นี่บริหารวัดที่ไม่มีใครเกิน ท่านสู้สุดตัว หินก้อนใหญ่ๆ ทุบเองแหลกหมด ท่านไม่ต้องไปง้อใคร ทำเองทั้งนั้น บางทีไปค้างวันค้างคืน หาคนไปช่วยเอาไม้อยู่ในป่าโน่น! โป่งน้ำร้อนโน่น ไกลเท่าไรก็ไปเอามาจนได้

ตอนหลังท่านไปเรียกใคร เขาก็ไม่ไป สู้ท่านไม่ไหว ทำทั้งวันทั้งคืน ท่านจะเอาอะไรเอาให้ได้ ถ้าไม่ได้ท่านไม่หยุด เก่งเหลือเกิน

ถึงท่านกิริยาภายนอกเป็นอย่างนั้น เรื่องเสียหายไม่มี เรื่องวาจาท่านก็เป็นคนพูดตรงไปตรงมา จะให้ท่านพูดหวานๆ อย่างนั้น อย่างนี้ท่านพูดไม่เป็น ถ้าวันไหนเห็นท่านพูดหวานๆ ชาวบ้านคงช็อกตาย สถานที่ที่ท่านควรจะพูดค่อยๆ ท่านก็พูดไม่ค่อย สถานที่ที่ควรจะพูดแรงๆ ท่านกลับพูดค่อยๆ

เวลาใช้ญาติโยมทํางาน ท่านมักจะพูดว่า “พวกมึงมาหาไอ้นี่ ให้หน่อย...โว้ย มาช่วยกันบ้างชีที่วัด” 

ผู้ใหญ่พาก็เคยขอโอกาสพูดกับหลวงปู่เจี๊ยะบ่อยเหมือนกัน เคยสะกิดท่านบ่อยๆ ว่า “ท่านอาจารย์พูดทําไมเอะอะนัก ค่อยๆ พูดซะหน่อยจะเป็นไร ญาติโยมเขามานั่งกันเต็มอยู่นั่น ทำไมเอะอะเสียงดังอะไรอย่างนี้”

ท่านก็ตอบว่า “เราก็เป็นของเราอย่างนี้อยู่ทุกวัน มันจะ แปลกตรงไหน ภายในใจเราไม่มีอะไรกับใครหรอก เคยพูดดังๆ มานั่ง เงียบมันโหวงเหวง มันพิลึกชอบกล

ผู้ใหญ่พากราบทูลท่านหญิงผ่องว่า “ลองคิดดูซิครับว่าจะมี พระที่ไหน ที่จะเป็นอย่างนี้ได้บ้าง ท่านมาบิณฑบาตบ้านผม ท่านเดิน เข้ามาในบ้านเลย และบอกว่า เอ้ย!... น้ำพริกกุ้งแห้งเกลือให้ หน่อย... พริกเกลือกุ้งแห้งท่านชอบ ท่านไม่เคยเสียหายอะไร มีแต่ กิริยาวาจานี่แหละ ที่ทำให้คนเขาแปลก ทำให้คนเขาแตก ไม่กล้าเข้าใกล้"

บางทีท่านไปบิณฑบาตก็นั่งรถไปเพราะขาเจ็บ ไปถึงที่ก็บอก “เอ้า!...เอาข้าวมาให้กิน” ตั้งบาตรเลย หนังสือพิมพ์เล่มหนึ่ง 1 นวนหนึ่ง แล้วก็นั่งกระดูกเข่า ใครเขาเห็นเขาจะเอาด้วยล่ะ ภาพมัน ก็ลบไปเลย ครูบาอาจารย์เขาไม่สอนอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ

ท่านก็บอก “ขากูเจ็บนี่หว่า ก็ไปอย่างนั้นทุกวัน กราบนิมนต์ ท่านว่า “ท่านอาจารย์ไม่ต้องมาบิณฑบาตเลย นอนอยู่เฉยๆ เลย จะ จัดไปถวายที่วัดเอง” ท่านบอกว่า “ไม่ได้เดี๋ยวเขาจะด่า หาว่าขี้เกียจ บิณฑบาด
...........................

ตามรอยพระอริยะเจ้า! "หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท" พระผู้เป็นดั่งผ้าขื้ริ้วห่อทอง คัดลอกจากหนังสือ "ตามรอยพระอริยเจ้าหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี" ท่านคือสมณะสงฆ์สายป่าผู้เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองของแม่ทัพกรรมฐานแห่งสยาม : ดำรงธรรม เรียบเรียง

(ติดตามตอนต่อไป) - 003

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • \'หลวงปู่จันทร์ศรี\'เรียนรู้วิธี \'หยุดคิด\' ตั้งสติพิจารณากายจาก \'พระอาจารย์มั่น\' 'หลวงปู่จันทร์ศรี'เรียนรู้วิธี 'หยุดคิด' ตั้งสติพิจารณากายจาก 'พระอาจารย์มั่น'
  • \'หวย\'เป็นเรื่องของโชค คนที่มีโชคเป็นพื้นฐานต้องเป็นคนทำทานมาก่อน:โอวาทธรรม \'ท่านพ่อลี\' 'หวย'เป็นเรื่องของโชค คนที่มีโชคเป็นพื้นฐานต้องเป็นคนทำทานมาก่อน:โอวาทธรรม 'ท่านพ่อลี'
  • \'ความอ่อนน้อมถ่อมตน\' เป็น \'คาถาศักดิ์สิทธิ์สู่สัมมาทิฐิ\' 'ความอ่อนน้อมถ่อมตน' เป็น 'คาถาศักดิ์สิทธิ์สู่สัมมาทิฐิ'
  • ผลักดันอุบลราชธานีเป็น \'เมืองกัมมัฏฐานโลก\' ชู \'ธรรมะ\' นำการพัฒนาสู่สันติสุขยั่งยืน ผลักดันอุบลราชธานีเป็น 'เมืองกัมมัฏฐานโลก' ชู 'ธรรมะ' นำการพัฒนาสู่สันติสุขยั่งยืน
  • แก่นแท้ของการทำบุญอยู่ที่\'ใจ\'ไม่ใช่จำนวนเงิน ทำบาทเดียวก็ได้อานิสงส์มหาศาล แก่นแท้ของการทำบุญอยู่ที่'ใจ'ไม่ใช่จำนวนเงิน ทำบาทเดียวก็ได้อานิสงส์มหาศาล
  • \'ถ้าอยากเห็นธรรมประเสริฐ\' จงพยายามตักตวงแต่บัดนี้ด้วยความเข้มข้นทางความเพียร 'ถ้าอยากเห็นธรรมประเสริฐ' จงพยายามตักตวงแต่บัดนี้ด้วยความเข้มข้นทางความเพียร
  •  

Breaking News

ปปป.ถกคดียักยอกเงินวัดไร่ขิง-ส่งคืนทรัพย์สินบางส่วน

‘บิ๊กอ้วน’ชี้เขมรเล่นสงครามจิตวิทยา เมิน‘ฮุน เซน’ทำนายอีก 3 เดือนเปลี่ยนนายกฯ

เมินให้ค่า‘ฮุนเซน’ ‘โรม’ฝาก‘รบ.กัมพูชา’อย่าทิ้งบาดแผลให้คนข้างหลัง

'มทภ.2'แก้เคล็ด! ถวายพระประธาน 20 จ.อีสานใต้ ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ประเทศสงบสุข

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved