"สมาธิเพื่อชีวิต"... มอบธรรม นำพร ๒๕๓๔ พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา หนังสือ ฐานิยบูชา ๒๕๔๔ - ๘๐ ปี หลวงพ่อพุธ หน้า ๗-๒๔
สมาธิตามธรรมชาติ
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนของปัญญาชนไม่ใช่เป็นคำสอนของบุคคลผู้เชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลด้วยความงมงายศาสนาพุทธสอนให้คนเรียนให้รู้ธรรมชาติและกฎของธรรมชาติถ้าใครจะถามว่าธรรมะคืออะไร ? ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติธรรมชาติคืออะไร ? ก็คือ กายกับใจของเรา
สมาธิแบบพระพุทธเจ้า การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวันนี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิสอนสมาธิต้องสอนสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด ความรู้เห็นอะไรที่เขาอวดๆ กันนี่อย่าไปสนใจเลย ให้มันรู้เห็นจิตของเรานี่ รู้กายของเรารู้ว่าธรรมชาติของกายอย่างหยาบๆ มันต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถอยู่เสมอยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด อันนี้คือความจริงของกาย
สมาธิ.....เพื่ออะไร
ปัญหาสำคัญของการฝึกสมาธินี่บางทีเราอาจจะเข้าใจไขว้เขวไปจากหลักความจริงสมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้จิตสงบนิ่งสมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะรู้ทันเหตุการณ์นั้นๆ ในขณะปัจจุบันสมาธิบางอย่าง เราปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเห็นภายในจิตเช่น รู้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ รู้เรื่องอดีต อนาคต
รู้อดีต หมายถึงรู้ชาติในอดีตว่าเราเกิดเป็นอะไรรู้อนาคต หมายถึงว่าเมื่อเราตายไปแล้วเราจะไปเป็นอะไรอันนี้เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้อดีต เป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึงดังนั้น เราสนใจอยู่ในสิ่งที่เป็นปัจจุบันดีไหม
ที่ครูบาอาจารย์สอนว่า ทำกรรมฐานไปเห็นโน่นเห็นนี่นี่มันใช้ไม่ได้ ให้มันเห็นใจเราเองซิอย่าไปเข้าใจว่าทำสมาธิแล้วต้องเห็นนรกต้องเห็นสวรรค์ ต้องเห็นอะไรต่อมิอะไรสิ่งที่เราเห็นในสมาธิมันไม่ผิดกันกับที่เรานอนหลับแล้วฝันไปแต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ ต้องเห็นนี่ คือเห็นกายของเราเห็นใจของเรา
หลักสากลของการปฏิบัติสมาธิ
การบำเพ็ญสมาธิจิตเพื่อให้เกิดสมาธิ สติ ปัญญามีหลักที่ควรยึดถือว่าทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึกจิตนึกรู้สิ่งใดให้มีสติสำทับเข้าไปที่ตรงนั้นยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิดเป็นอารมณ์จิต ฝึกสติให้รู้อยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าใครจะทำอะไร มีสติตัวเดียวเวลานอนลงไป จิตมันมีความคิดอย่างใดปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับอันนี้เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล
ถ้ามีใครมาถามว่า ทำสมาธินี่คือทำอย่างไร ? คำตอบมันก็ง่ายนิดเดียว การทำสมาธิคือการทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึกหมายความว่า เมื่อจิตของเรานึกถึงสิ่งใดให้มีสติสำทับไปที่ตรงนั้น เรื่องอะไรก็ได้ถ้าเอากันเสียอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าเราได้ทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา
สมาธิ.....ไม่ใช่การนั่งหลับตาเท่านั้น
ถ้าหากไปถือว่าสมาธิคือการนั่งหลับตาอย่างเดียวมันก็ถูกกับความเห็นของคนทั้งหลายที่เขาแสดงออกแต่ถ้าเราจะคิดว่าอารมณ์ของสมาธิคือ การยืน เดิน นั่ง นอนรับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ไม่ว่าเราจะทำอะไรมีสติสัมปชัญญะรู้อยู่กับเรื่องปัจจุบัน คือเรื่องชีวิตประจำวันนี้เองเราจะเข้าใจหลักการทำสมาธิอย่างกว้างขวาง
และสมาธิที่เราทำอยู่นี่ จะรู้สึกว่านอกจากจะไปนั่งหลับตาภาวนา หรือเพ่งดวงจิตแล้วออกจากที่นั่งมา เรามีสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด แม้ว่าเราจะไม่นั่งสมาธิอย่างที่พระท่านสอนก็ได้เพราะว่าเราฝึกสติอยู่ตลอดเวลา เวลาเรานอนลงไปคนมีความรู้ คนทำงาน ย่อมมีความคิดในช่วงที่เรานอนนั่นแหละ เราปล่อยให้จิตเราคิดไปแต่เรามีสติตามรู้ความคิดจนกระทั่งนอนหลับ
ถ้าฝึกต่อเนื่องกันทุกวันๆ เราจะได้สมาธิอย่างประหลาดนี่ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้ สมาธิจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์โลกให้เจริญแต่ถ้าหากจะเอาสมาธิมุ่งแต่ความสงบอย่างเดียวมันจะเกิดอุปสรรคขึ้นมาทันทีแม้การงานอะไรต่างๆ มองดูผู้คนนี่ขวางหูขวางตาไปหมดอันนั้นคือสมาธิแบบฤาษีทั้งหลาย
ทำสมาธิถูกทาง ไม่หนีโลก ไม่หนีปัญหา
ผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิที่ถูกต้องนี่สมมุติว่ามีครอบครัวจะต้องรักครอบครัวของตัวเองมากขึ้นหนักเข้าความรักมันจะเปลี่ยน เปลี่ยนจากความรักอย่างสามัญธรรมดากลายเป็นความเมตตาปรานี ในเมื่อไปเผชิญหน้ากับงานที่ยุ่งๆเมื่อก่อนรู้สึกว่ายุ่ง แต่เมื่อปฏิบัติแล้ว ได้สมาธิแล้ว งานมันจะไม่ยุ่ง
พอประสบปัญหาเข้าปุ๊บจิตมันจะปฏิวัติตัวพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆซึ่งมันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติทีนี้บางทีพอเราหยิบปัญหาอะไรขึ้นมาเรามีแบบแผนตำรายกขึ้นมาอ่าน พออ่านจบปั๊บจิตมันวูบวาบลงไปปัญหาที่เราข้องใจจะแก้ได้ทันทีอันนี้คือสมาธิที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน
แต่สมาธิอันใดที่ไม่สนใจกับเรื่องชีวิตประจำวันหนีไปอยู่ที่หนึ่งต่างหากของโลกแล้วสมาธิอันนี้ทำให้โลกเสื่อม และไม่เป็นไปเพื่อทางตรัสรู้ มรรค ผล นิพพานด้วย
ทุกคนเคยทำสมาธิมาแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างเราสำเร็จมาเพราะพลังของสมาธิ ไม่มีสมาธิ เรียนจบปริญญามาได้อย่างไร ไม่มีสมาธิ สอนลูกศิษย์ลูกหาได้อย่างไร ไม่มีสมาธิ ทำงานใหญ่โตสำเร็จได้อย่างไร ไม่มีสมาธิ ปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร
พวกเราเริ่มฝึกสมาธิมาตั้งแต่พี่เลี้ยงนางนมพ่อแม่สอนให้เรารู้จักกิน รู้จักนอน รู้จักอ่านรู้จักคนโน้นคนนี้ จุดเริ่มต้นมันมาแต่โน่นทีนี้พอมาเข้าสู่สถาบันการศึกษาเราเริ่มเรียนสมาธิอย่างจริงจังขึ้นมาแล้ว
แต่เมื่อเรามาพบพระคุณเจ้า หลวงพ่อ หลวงพี่ทั้งหลายนี้ท่านจะถามว่า “เคยทำสมาธิไหม”จึงทำให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจว่าเราไม่เคยทำสมาธิ ไม่เคยปฏิบัติสมาธิมาก่อนเพราะท่านไปขีดวงจำกัดการทำสมาธิเฉพาะเวลานั่งหลับตาอย่างเดียว
ไม่เป็นชาววัดก็ทำสมาธิได้
ใครที่ยังไม่มีโอกาสจะเข้าวัดเข้าวามานั่งสมาธิหลับตาอย่างที่พระท่านชักชวนการปฏิบัติสมาธิเอากันอย่างนี้ ยืน เดิน นั่ง นอนรับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติอยู่ตลอดเวลาทุกคนได้ฝึกสมาธิมาตามธรรมชาติแล้วตั้งแต่เริ่มรู้เดียงสามาทีนี้เรามาเริ่มฝึกใหม่ นี่เป็นการเสริมของเก่าที่มีอยู่แล้วเท่านั้นอย่าไปเข้าใจผิด
ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์ของจิตเราทำให้สิ่งเหล่านี้ให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเวลานอนลงไป จิตมันคิดอะไร ให้มันคิดไปให้มีสติไล่ตามรู้มันไปจนกระทั่งนอนหลับปฏิบัติต่อเนื่องทุกวัน แล้วท่านจะได้สมใจอย่างไม่คาดฝัน
ในขณะทำงาน กำหนดสติรู้อยู่กับงานเวลาคิด ทำสติรู้อยู่กับการคิดโดยถือการทำงาน การคิด เป็นอารมณ์ของจิตโดยธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก จิตย่อมสงบ มีปีติ สุข เอกัคคตาได้ ในโอกาสใดโอกาสหนึ่งจนได้ ถ้าผู้ปฏิบัติตั้งใจทำจริง
นักธุรกิจทำสมาธิกับการงาน
มีผู้หญิงมาหาหลวงพ่อแล้วมาบอกว่า“หลวงพ่อหนูอยากจะฝึกสมาธิ แต่หนูนั่งสมาธิไม่เป็น”หลวงพ่อก็บอกว่า “คุณนั่งไม่เป็นก็ไม่ต้องนั่ง ให้ฝึกสติให้มันรู้อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด”
ทีนี้เมื่อสมาธิมันเกิดขึ้นเพราะการปฏิบัติอย่างนี้ ภายหลังมานี่ความรู้สึกมันก็รู้สึกว่า เราทำอะไร พูด คิดอะไร มันเป็นสมาธิทั้งนั้นมันก็ไปสอดคล้องกันเอง มองเห็นงานที่มันเคยยุ่งๆ ตั้งแต่ก่อนเมื่อมีสมาธิดีแล้ว ไปประสบความยุ่งเหยิงอย่างนั้นจิตมันรู้สึกว่ามันไม่ยุ่ง มันสามารถแก้ไขปัญหาของมันได้
อย่างบางทีพอติดปัญหาปั๊บ กำหนดจิตมันวูบวาบไปปัญญาที่จะแก้ไขปัญหานั้นมันก็เกิดขึ้นแม้แต่เกี่ยวกับเรื่องงานเรื่องการก็เหมือนกันอันนี้เราไปติดอยู่ตรงที่ว่า อย่าไปคิดเรื่องโลกให้คิดแต่เรื่องธรรม แต่ความจริงโลกน่ะเป็นอารมณ์ของจิต
ในเมื่อจิตตัวนี้รู้ความจริงของโลกแล้วมันจะปลีกตัวไปลอยเด่นอยู่เหนือโลกและมันอาศัยโลกนั่นแหละ เป็นบันไดเหยียบไปสู่จุดที่อยู่เหนือโลกโลกทั้งหลายนี่เป็นอารมณ์ของจิต กายและใจของเราก็เป็นโลก
สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่เราประสบอยู่เป็นเรื่องชีวิตประจำวันของโลก ในเมื่อเรามาฝึกสติให้รู้ทันโลกอันนี้แล้วจิตมันจะรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของโลก มันก็ปล่อยวางถึงแม้ว่ามันจะอยู่กับโลก มันก็แตะๆ แตะๆ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างนี่เป็นแต่เพียงหน้าที่เท่านั้น แล้วมันจะจัดสรรตัวมันเองว่าเรามีหน้าที่อย่างไรควรจะรับผิดชอบอย่างไร มันจะปฏิบัติหน้าที่ไปตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
(ติดตามอ่านตอนต่อไป)
.....................................
คัดลอกจากหนังสือ ฐานิยบูชา ๒๕๔๔ - ๘๐ ปี หลวงพ่อพุธ (พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา) หน้า ๗-๒๔
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี