(ต่อจากตอนที่แล้ว) ขณะนี้นักเรียนทั้งหลายกำลังเรียน ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่าทำอย่างไรเราจึงจะได้พลังของสมาธิ พลังของสติเพื่อสนับสนุนการศึกษาหลวงตาจะสอนวิธีทำสมาธิในห้องเรียน สมมุติว่าขณะนี้หลวงตาเป็นครูสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายเพ่งสายตามาที่หลวงตาส่งใจมาที่หลวงตาแล้วก็สังเกตดูให้ดีว่าหลวงตาทำอะไรบ้างหลวงตายกมือหนูก็รู้ เขียนหนังสือให้หนูรู้ พูดอะไรให้หนูตั้งใจฟัง
นักเรียน นักศึกษาทำสมาธิในการเรียน
ถ้าสังเกตจนกระทั่งกระพริบหูกระพริบตาได้ยิ่งดี เวลาเข้าห้องเรียนให้เพ่งสายตาไปที่ตัวครู ส่งใจไปที่ตัวครู อย่าเอาใจไปอื่น เพียงแค่นี้วิธีการทำสมาธิในห้องเรียน ถ้าพวกหนูๆ จำเอาไปแล้วปฏิบัติตามจะได้สมาธิตั้งแต่เป็นนักเรียนเล็กๆ ชั้นอนุบาล
ในตอนแรกนี่ การควบคุมสายตาและจิตไปไว้ที่ตัวครูนี่อาจจะลำบากหน่อย แต่ต้องพยายามฝึก ฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญภายหลังแม้เราจะไม่ตั้งใจ พอเห็นใครเดินผ่านหน้ามันจะจ้องเอาๆพอมาเข้าห้องเรียนแล้วพอครูเดินเข้ามาในห้องสายตามันจะจ้องปั๊บ ใจมันก็จะจดจ่ออยู่ตรงนั้น หนูลองคิดดูซิว่าการที่มองที่ครู และเอาใจใส่ตัวครูนี่ เราเรียนหนังสือเราจะเข้าใจดีไหมลองคิดดู ทีนี้เมื่อฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญแล้ว สายตามันยังจ้องอยู่ที่ตัวครู
แต่ใจจะมาอยู่ที่ตัวเราเอง มาตอนนี้ครูท่านสอนอะไรพอท่านพูดจบประโยคนั้น ใจของเรารู้ล่วงหน้าแล้วว่าต่อไปท่านพูดอะไรเวลาไปสอบ อ่านคำถามจบ ใจของเราจะวูบวาบแล้วคำตอบมันจะผุดขึ้นอันนี้เป็นสูตรทำสมาธิที่หลวงพ่อทำได้ผลมาแล้ว
หลวงพ่อทำสมาธิในการเรียนสมัยเป็นเณร
อาจารย์องค์นั้นชื่อ อาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ ลูกศิษย์ต้นของหลวงปู่มั่น เห็นหลวงพ่อถือหนังสือเดินท่องไปท่องมาแบบเดินจงกรม ท่านก็ทักว่า “เณร ถ้าจะเรียนก็ตั้งใจเรียน จะปฏิบัติก็ตั้งใจปฏิบัติจับปลาสองมือมันไม่สำเร็จหรอก”
ที่นี้เราก็อุตริคิดขึ้นมาว่า“เอ๊ หลักของการเพ่งกสิณนี่ ปฐวีกสิณ เพ่งดิน อาโป เพ่งน้ำวาโย เพ่งลม เตโช เพ่งไฟ อากาศ เพ่งอากาศ วิญญาณ เพ่งวิญญาณในตัวครูนี่มีกสิณครบ ทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณเราจะเอาตัวครูเป็นเป้าหมายของจิต ของอารมณ์เอาตัวครูเป็นอารมณ์ของจิต เป็นที่ตั้งของสติ เอามันที่ตรงนี้แหละ
การเรียนคือการปฏิบัติธรรม
วิชาความรู้ที่นักศึกษาเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี่มันเป็นสิ่งที่เราสามารถรู้ด้วยจิตใจ สิ่งใดที่เราสามารถรู้ด้วยจิตใจสิ่งนั้นคือสภาวธรรม สภาวธรรมอันนี้มันทำให้เราดีใจเสียใจเพราะมันเราท่องหนังสือไม่ได้ เราเกิดเสียใจน้อยใจตัวเองหนังสือที่เราท่องนั่นคือสภาวธรรม เราจำไม่ได้นั่นคือสิ่งที่มันไม่เป็นไปตามความปรารถนา มันเข้าในหลักอนัตตา
บางทีอยู่ดีๆ เกิดเจ็บไข้ เราไปวิทยาลัยของเราไม่ได้มันก็ส่อถึงอนัตตา อนิจจัง ทุกขังนั่นเอง เพราะฉะนั้นเมื่อเรามาฝึกสติสัมปชัญญะของเรานี้ ให้มันรู้พร้อมอยู่กับปัจจุบันมันเป็นการปฏิบัติธรรม เดินเรารู้ ยืนเรารู้ นั่งเรารู้ นอนรับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เรารู้ เอาตัวรู้คือสติตัวเดียวเท่านั้น
แม้ในขณะที่เราเรียนหนังสืออยู่เราตั้งใจจดจ่อต่อการเรียนในปัจจุบันนั้น นั่นก็เป็นการปฏิบัติสมาธิทีนี้ความรู้ ความเห็น ที่เราจะพึงทำความเข้าใจ มันอยู่ที่ตรงไหนมันอยู่ที่กายกับใจของเรานี่ ทำอย่างไรกายของเราจึงจะมีสุขภาพอนามัยเข้มแข็ง ทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะปลอดโปร่งเมี่อมีปัญหาขึ้นมา ทำอย่างไรเราจึงจะมีสติปัญญาแก้ไขปัญหาหัวใจของเราได้ นี่มันอยู่ที่ตรงนี้ที่เราจำเป็นต้องเรียนให้มันรู้
ทำสมาธิในการเรียนได้ผลอย่างไร
นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เป็นนักศึกษาในทุนที่หลวงพ่อส่งไปเรียนเอง ตอนแรกเขาไม่อยากจะไปเรียน เพราะเขาคิดว่ามันสมองของเขาไม่สามารถจะเรียนระดับมหาวิทยาลัยได้หลวงพ่อก็เคี่ยวเข็นให้เขาไป ในเมื่อเขารับปากว่าจะไปเรียนหลวงพ่อก็บอกว่า “หนูไปเรียนมหาวิทยาลัยต้องฝึกสมาธิด้วย”เขาก็เถียงว่า “จะให้ไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้วต้องให้ทำสมาธิ จะเอาเวลาที่ไหนไปเรียน”
มันเกิดมีปัญหาขึ้นมาอย่างนี้ หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำว่าการฝึกสมาธิแบบนี้ไม่ขัดต่อการศึกษา หลวงพ่อก็ให้คำแนะนำเบื้องต้นว่า “เมื่อเวลาหนูเข้าไปอยู่ในห้องเรียนให้กำหนดจิตให้มีสติรู้อยู่ที่จิตของตัวเอง ถ้าหากมีจุดใดจุดหนึ่งที่จะต้องเพ่งมองก็เพ่งมองไปที่จุดนั้น เช่น กระดานดำ เป็นต้นเมื่ออาจารย์เดินเข้ามาในห้องเรียน ให้เอาความรู้สึกและสายตาทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ตัวอาจารย์ ให้มีสติรู้อยู่ที่ตัวอาจารย์เพียงอย่างเดียว อย่าส่งใจไปอื่น”
เขาใช้เวลาเรียนเพียง ๔ ปีก็จะจบแล้ว ทีแรกเขาคิดว่าเขาอาจจะเรียนถึง ๖ ปีกว่าจะเอาให้จบได้ แต่มันก็ผิดคาดทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยน ความรู้สึกว่ามันสมองไม่ดีมันเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาหมดก็เป็นอันว่าเขาสามารถฝึกสมาธิ ให้จิตมีสมาธิ มีสติสัมปชัญญะเพื่อเป็นการสนับสนุนการศึกษาที่เขาเรียนอยู่ในปัจจุบันได้
ถ้านักศึกษาพยายามฝึกสมาธิแบบนี้ ผลพลอยได้จากการฝึกความเคารพ ความเอาใจใส่ ความกตัญญูกตเวทีความรู้สึกซึ้งในพระคุณของครูบาอาจารย์มันจะฝังลึกลงสู่จิตใจเราจะกลายเป็นคนกตัญญูกตเวที ไม่อาจลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์ได้เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็มีแต่ความเคารพบูชาในครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ที่มีความเคารพในครูบาอาจารย์การเรียนก็ทำให้เรียนได้ดีเกินกว่าที่เราคาดคิด
ช่างประดิษฐ์ทำสมาธิในการประดิษฐ์
เมื่อไม่นานมานี้ มีคฤหบดีท่านหนึ่งอุตส่าห์นั่งรถมาจากกรุงเทพฯพอมาถึงเขาก็มาบอกหลวงพ่อว่า “ผมจะมาขอขึ้นครูกรรมฐานกับท่านได้ทราบว่าท่านสอนกรรมฐานเก่ง”
หลวงพ่อก็ถามว่า “คุณมีอาชีพอะไร”เขาตอบว่า “ผมมีอาชีพในการประดิษฐ์สิ่งของขาย”
“ไหนคุณลองเล่าดูซิว่าขณะที่คุณประดิษฐ์สิ่งของขายนั่นน่ะคุณคิดประดิษฐ์ของคุณอยู่นั่น มันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”
เขาก็เล่าให้ฟังโดยยกตัวอย่างว่า“สมมุติว่าผมจะสร้างตุ๊กตาสักตัวหนึ่งผมก็มาคิดว่าจะทำใบหน้าอย่างนั้น ทรงผมอย่างนี้รูปร่างลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็คิดไปตามที่ผมจะคิดได้คิดไปคิดมามันมีอาการเคลิ้ม เหมือนกับจะง่วงนอนแล้วก็มีอาการหลับวูบลงไป รู้สึกหลับไปพักหนึ่งในขณะที่รู้สึกหลับไปพักหนึ่งนั่น จิตก็เกิดสว่างมองเห็นภาพตุ๊กตา ที่คิดจะสร้างลอยอยู่ข้างหน้าที่นี้จิตก็ดูของมันอยู่จนกระทั่งแน่ใจแล้วก็ถอนขึ้นมาตื่นขึ้นมาจากภวังค์”
ในช่วงที่จิตมันวูบนั่น นอนหลับไปแล้วเกิดฝันขึ้นมาฝันเห็นตุ๊กตาลอยอยู่ต่อหน้า เขาก็มาสร้างตุ๊กตาตามที่เขาฝันเห็นเมื่อสร้างเสร็จแล้ว ส่งออกขายในท้องตลาดก็เป็นที่นิยมแก่ลูกค้า
หลวงพ่อก็บอกว่า “คุณ คุณทำสมาธิเก่งแล้ว คุณไม่ต้องมาขึ้นครูกรรมฐานกับฉันก็ได้ ให้คุณทำสมาธิด้วยการประดิษฐ์ตุ๊กตาของคุณต่อไป นั่นแหละคือสมาธิที่คุณต้องการจะเรียนจากฉันถ้าคุณต้องการจะให้สมาธิของคุณดียิ่งขึ้น ให้คุณสมาทานศีล ๕ เสียแล้วสมาธิของคุณจะเป็นไป เพื่อการละความชั่วประพฤติความดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาดได้”
ทำสมาธิโดยการบริกรรมภาวนา
หมายถึงการท่องคำบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น พุทโธ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัน เป็นต้นผู้ภาวนาท่องบริกรรมภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งจนจิตสงบประกอบด้วยองค์ฌาณ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตาจิตสงบจนกระทั่งตัวหาย ทุกสิ่งทุกอย่างหายไป
เหลือแต่จิตที่สงบนิ่งสว่างอยู่ ความนึกคิดไม่มีเมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ พอรู้สึกว่ามีกาย ความคิดเกิดขึ้นให้กำหนดสติตามรู้ทันที อย่ารีบออกจากที่นั่งสมาธิถ้าปฏิบัติอย่างนี้จะได้ปัญญาเร็วขึ้นในช่วงนี้ถ้าเราไม่รีบออกจากสมาธิ ออกจากที่นั่งเราก็ตรวจดูอารมณ์จิตของเราเรื่อยไป โดยไม่ต้องไปนึกอะไรเพียงแต่ปล่อยให้จิตมันคิดของมันเอง อย่าไปตั้งใจคิด
ที่นี้พอออกจากสมาธิมาแล้ว พอมันคิดอะไรขึ้นมาก็ทำใจดูมันให้ชัดเจน ถ้าจิตมันคิดไปเรื่อยๆ ก็ดูมันไปเรื่อยๆจะคิดไปถึงไหนช่างมัน ปล่อยให้มันคิดไปเลยเวลาคิดไป เราก็ดูไปๆๆๆ มันจะรู้สึกเคลิบเคลิ้มในความคิดแล้วจะเกิดกายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ
กายเบา กายสงบ ได้กายวิเวก จิตเบา จิตสงบ ได้จิตวิเวกทีนี้จิตสงบแล้ว จิตเป็นปกติได้ก็ได้อุปธิวิเวกในขณะนั้น
บริกรรมพุทโธกับการตามรู้จิตคือหลักเดียวกัน
ภาวนาพุทโธเอาไว้ พอจิตมันอยู่กับพุทโธก็ปล่อยให้มันอยู่ไปพอทิ้งพุทโธแล้วไปคิดอย่างอื่น ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติตามรู้.....พุทโธที่เรามาท่องเอาไว้ ๑. เพื่อระลึกถึงพระบรมครู ๒. เพื่อกระตุ้นเตือนจิตให้เกิดความคิดเอง
ทีนี้เมื่อจิตทิ้งพุทโธปั๊บ มันไปคิดอย่างอื่นขึ้นมาได้แสดงว่าเขาสามารถหาเหยื่อมาป้อนให้ตัวเองได้แล้วเราก็ไม่ต้องกังวลที่จะหาอารมณ์มาป้อนให้เขาปล่อยให้เขาคิดไปตามธรรมชาติของเขาหน้าที่ของเรามีสติกำหนดตามรู้อย่างเดียวเท่านั้นนี่หลักการปฏิบัติเพื่อจะได้สมาธิสัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน ต้องปฏิบัติอย่างนี้
อย่าข่มจิตถ้าจิตอยากคิด
ถ้าเราภาวนาพุทโธๆ แม้ว่าจิตสงบเป็นสมาธิถึงขั้นละเอียดถึงขั้นตัวหาย เมื่อสมาธินี้มันจะได้ผลไปตามแนวทางแห่งการปฏิบัติเพื่อมรรค ผล นิพพานภายหลังจิตที่เคยสงบนี้มันจะไม่ยอมเข้าไปสู่ความสงบมันจะมาป้วนเปี้ยนแต่การยืน เดิน นั่ง นอนรับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ซึ่งอันนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่หลวงพ่อเองประสบมาแล้วพยายามจะให้มันเข้าไปสู่ความสงบอย่างเคย มันไม่ยอมสงบ
ยิ่งบังคับเท่าไรยิ่งดิ้นรน นอกจากมันจะดิ้นแล้วอิทธิฤทธิ์ของมันทำให้เราปวดหัวมวนเกล้าร้อนผ่าวไปทั้งตัว เพราะไปฝืนความเป็นจริงของมันทีนี้ภายหลังมาคิดว่า แกจะไปถึงไหน ปรุงไปถึงไหน เชิญเลยฉันจะตามดูแก ปล่อยให้มันคิดไป ปรุงไป ก็ตามเรื่อยไป
ทีนี้พอไปๆ มาๆ ตัวคิดมันก็คิดอยู่ไม่หยุด ตัวสติก็ตามไล่ตามรู้กันไม่หยุด พอคิดไปแล้ว มันรู้สึกเพลินๆในความคิดของตัวเอง มันคล้ายๆ กับ ว่ามันห่างไกลไกลไปๆๆ เกิดความวิเวกวังเวง กายเบาจิตเบา กายสงบ จิตสงบ และพร้อมๆ กันนั้นน่ะทั้งๆ ที่ความคิดมันยังคิดไวเร็วปรื๋อจนแทบจะตามไม่ทัน ปีติและความสุขมันบังเกิดขึ้นแล้วทีนี้มันก็มีความเป็นหนึ่ง คือ จิตกำหนดรู้อยู่ที่จิต
ความคิดอันใดเกิดขึ้นกับจิตสักแต่ว่าคิด คิดแล้วปล่อยวางไปๆ มันไม่ได้ยึดเอามาสร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อนแล้วในที่สุดเมื่อมันตัดกระแสแห่งความคิดแล้ว มันวูบวาบๆเข้าไปสู่ความสงบนิ่งจนตัวหายเหมือนอย่างเคย จึงได้ข้อมูลขึ้นมาว่า.....อ๋อ ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ ศีลอบรมสมาธิสมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิต
ความคิดอันใดที่สติรู้ทันทุกขณะจิต ความคิดอันนั้นคือปัญญาในสมาธิเป็นลักษณะของจิตเดินวิปัสสนา พร้อมๆ กันนั้นถ้าจะนับตามลำดับขององค์ฌาน ความคิด เป็นตัววิตก สติรู้พร้อมอยู่ที่ความคิด เป็นตัววิจารเมื่อจิตมีวิตก วิจาร ปีติ และสุขย่อมบังเกิดขึ้นไม่มีปัญหา
ทีนี้ปีติเกิดขึ้นแล้ว จิตมันก็อยู่ในสภาพปกติ กำหนดรู้ความคิดที่เกิดๆ ดับๆ อยู่ตลอดเวลา ก็ได้ความเป็นหนึ่ง ถ้าจิตดำรงอยู่ในสภาวะเป็นอย่างนี้ ก็เรียกว่าจิตดำรงอยู่ในปฐมฌาน คือ ฌานที่ ๑ ประกอบด้วยองค์ ๕ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ปล่อยจิตให้คิด เกิดความฟุ้งซ่านหรือเกิดปัญญา
ความคิดที่จิตมันคิดขึ้นมาเอง เป็นวิตก สติรู้พร้อม เป็นวิจารเมื่อจิตมีวิตก วิจาร ปีติ และความสุขย่อมเกิดขึ้นไม่มีปัญหาผลที่จะเกิดจากการตามรู้ความคิด ความคิดเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิตเป็นสิ่งระลึกของสติ เมื่อสติสัมปชัญญะดีขึ้น เราจะรู้สึกว่าความคิด เป็นอาหารของจิต ความคิด เป็นการบริหารจิตความคิด เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด
ความคิด เป็นนิมิตหมายให้เรารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องทุกข์ เป็นอนัตตาแล้วความคิดนี่แหละมันจะมายั่วยุให้เราเกิดอารมณ์ดี อารมณ์เสียเมื่อเรามองเห็นอารมณ์ดี อารมณ์เสีย มองเห็นอิฏฐารมณ์อนิฏฐารมณ์ ที่ก่อเป็นตัวกิเลส ทีนี้เมื่อจิตมีอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์มันก็มีสุขบ้าง ทุกข์บ้างคละกันไป
ในที่สุดก็มองเห็นทุกข์อริยสัจ ถ้าจิตมันเกิดทุกข์ขึ้น ได้สติรู้พร้อมมองเห็นทุกข์อริยสัจ ถ้าจิตมีปัญญา รู้สึกมันจะบอกว่า อ้อ !นี่คือทุกข์อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วมันจะดูทุกข์กันต่อไปสุข ทุกข์ ทั้งสองอย่างเกิดขึ้นสลับกันไป อันนี้คือกฎอริยสัจแล้วในที่สุดจิตมีสติมีปัญญาดีขึ้น มันจะกำหนดหมายรู้ว่านอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
แล้วจะมองเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไปอยู่อย่างนั้นยังกิญจิ สมุทย ธัมมัง สัพพันตัง นิโรธ ธัมมันติท่านอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมว่าสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา คือจุดนี้
เส้นทางตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้า
หลักการที่พระองค์ทรงยึดเป็นหลักปฏิบัติก็คือว่า ทำจิตให้มีสิ่งรู้ทำสติให้มีสิ่งระลึก พระองค์ทำลมอานาปานสติให้เป็นสิ่งรู้ของจิตแล้วเอาสติไปจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ พระองค์ทรงทำพระสติรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ทำให้พระองค์ต้องรู้ความหยาบความละเอียดของลมหายใจและรู้ความเปลี่ยนแปลงของลมหายใจ
ในขณะใดที่พระองค์ไม่ได้ดูลมหายใจ พระองค์ก็กำหนดดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิตของพระองค์ สิ่งใดเกิดขึ้นพระองค์ก็รู้รู้ด้วยวิธีการทำสติกำหนดจิต กำหนดคอยรู้ คอยจ้องดูอารมณ์ที่เกิดดับกับจิต ในเมื่อสติสัมปชัญญะของพระองค์มีความเข้มแข็งขึ้นสามารถที่จะประคับประคองจิตใจ ให้มีความรู้ซึ้งเห็นจริงในความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ ในสภาวะที่เป็นไปตามธรรมชาติ
คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเมื่อรู้ว่าอารมณ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอารมณ์อันใด ที่จิตของพระองค์ยังยึดถืออยู่เมื่ออารมณ์สิ่งนั้นเกิดขึ้นก็มายุแหย่ให้จิตของพระองค์เกิดความยินดี เกิดความยินร้าย ความทุกข์ก็ปรากฏขึ้นภายในจิต
ทุกข์ที่ปรากฏขึ้นภายในจิตของพระองค์ พระองค์ก็กำหนดว่านี่คือทุกข์อริยสัจ เป็นทุกข์จริงๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อรู้ว่าเป็นทุกข์จริงๆ พระองค์ก็สาวหาสาเหตุ ทุกข์นี่มันเกิดมาจากเหตุอะไรทุกข์อันนี้เกิดมาจากตัณหา ตัณหาเกิดมาจากไหนเกิดมาจากความยินดี และความยินร้าย
ความยินดีเป็นกามตัณหา ความยินร้ายเป็นวิภวตัณหาความยึดมั่นถือมั่นในความยินดียินร้ายทั้ง ๒ อย่างเป็นภวตัณหาในเมื่อจิตมีภวตัณหา มันก็ย่อมมีความทุกข์เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้พระองค์รู้ซึ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อันนี้เป็นภูมิธรรมที่พระองค์ค้นคว้าพบ และตรัสรู้เองโดยชอบ - 003
.....................................
คัดลอกจากหนังสือ ฐานิยบูชา ๒๕๔๔ - ๘๐ ปี หลวงพ่อพุธ (พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา) หน้า ๗-๒๔
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี