มีคำถามจากอาจารย์ท่านหนึ่งว่า สอนวิชาเรื่องแมลงศัตรูพืชและวิธีปราบ พอเกษตรกรเดือดร้อนก็มาถาม ก็แนะนำวิธีเขาเพื่อให้เขาได้ผล จะเป็นบาปหรือไม่???
ปัญหานี้ตรงกันกับปัญหาที่เจ้านายท่านหนึ่งถามหลวงพ่อว่า "การไปแนะนำให้ชาวบ้านเขาปลูกหม่อน เลี้ยงไหม จะบาปไหม พระบางองค์บอกว่าขอบิณฑบาตเสีย มันบาป สำหรับพระคุณเจ้าเห็นว่าบาปไหม" หลวงพ่อก็ไม่ได้ตอบท่านว่าบาปหรือไม่บาป เลยชักแม่น้ำทั้งห้า หน้าที่การอบรมสั่งสอนให้รู้จักการทำมาหาเลี้ยงชีพเป็นหน้าที่ของท่าน เมื่อแนะนำให้เขาทำอย่างนั้นๆ พอเขาทำแล้ว มองเห็นประโยชน์ที่เขาจะพึงได้ เขารู้จักเอาประโยชน์เอง ขออย่างเดียวว่า อย่าไปช่วยเขาจับตัวหม่อนตัวไหมต้มลงในหม้อน้ำร้อนก็แล้วกัน ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนอาตมภาพไปเที่ยวเทศน์สอนคน ใครต้องการผลประโยชน์ในปัจจุบันให้ยึดหลักธรรม ๔ ข้อ
ข้อแรก อุฏฐานสัมปทา ให้หมั่นขยันในการงานหาเลี้ยงชีพ ทีนี้ถ้าว่าคนทั้งหลายที่มาฟังธรรมนั้น ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร พลเรือน พ่อค้า ประชาชน คนลักคนขโมยจี้ปล้นฉ้อโกง มีทุกประเภท ในเมื่อเขามาฟังเทศน์อาตมภาพแล้วเขาเกิดเลื่อมใสในคำเทศน์ คนเป็นข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ต่างก็หมั่นขยันในหน้าที่ของตนเองมากขึ้น ทีนี้เกิดมีมหาโจรจี้ปล้นชาวบ้าน มันขยันจี้ขยันปล้นขยันลักขโมยมากขึ้น สงสัยว่าอาตมภาพจะตกนรกตาย
อันนี้มันเหมือนๆ ว่าเราสอนให้เขารู้จักทำ แต่เราไม่ได้ไปสอนให้เขาฆ่า ถ้าเกี่ยวกับการใช้ยาอะไรต่างๆ นี่ เราเพียงแต่แนะนำว่าสิ่งนี้มันเป็นแต่สิ่งที่ป้องกันอันตรายจากวัชพืชที่พวกคุณทำขึ้น เพียงแค่นั้น เหมือนๆ กับพระเป็นโรคพยาธิในลำไส้ ถ้าพระไปบอกว่าไปซื้อยามากินฆ่าพยาธิในลำไส้ พระต้องอาบัติปาจิตตีย์เพราะฆ่าสัตว์ แต่ถ้าพระบอกว่าหายามาฉันเพื่อบำบัดโรคภัยไข้เจ็บพระไม่เป็นอาบัติ นี่เราพิจารณาเอาอย่างนี้
เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนาคือกรรม ผู้ที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ๑. รู้ว่าสัตว์มีชีวิต ๒. ความพยายามที่จะฆ่า ๓. การฆ่า ๔. สัตว์ตายด้วยการฆ่าโดยเจตนา จึงจะสำเร็จเป็นปาณาติบาต แต่ถ้ากลัวบาปก็เวลาทำไปแล้วก็ทำเฉพาะแต่สิ่งที่เราจำเป็นจะทำในหน้าที่ นอกเหนือไปกว่านั้นเราอย่าไปทำ สัตว์ที่เราไปฆ่าเพื่อวิจัยหาข้อมูลต่างๆ ถ้ากลัวบาปก็สวดมนต์ภาวนาอุทิศส่วนกุศลให้มัน สัตว์บางตัวถูกฆ่ามันดีอกดีใจ แต่ในขณะที่มันจะถูกฆ่ามันก็ทุกข์ทรมานเหมือนกัน แต่ถ้ามันตายจากสัตว์แล้ว ถ้าเผื่อว่ามันไปเกิดเป็นคนเป็นอะไรนี่มันดีใจ
พระองค์หนึ่งแบกขอนไม้ไปทิ้งลงที่ป่าหญ้าคาไปทับหัวหมาตาย ภายหลังหมาไปเกิดเป็นคน พออายุได้ประมาณ ๗ ขวบ มันนึกถึงพระองค์นั้น อยากไปกราบขอบพระคุณที่ช่วยให้มาเกิดเป็นคน ก็ให้แม่พามาหาที่วัด มาถามหาพระองค์นั้น บอกชื่อถูกด้วย “หือม์.. แกไปรู้จักพระองค์นั้นแต่เมื่อไร” “เมื่อ ๑๐ ปีก่อนโน้น” “อ้าว… ถ้างั้นแกก็รู้จักพระองค์นี้ก่อนเกิดซิ” “ใช่เจ้าค่ะ เมื่อก่อนนี้หนูเป็นหมาขี้เรื้อนอยู่ในวัดนี่ อาศัยกินข้าวก้นบาตรพระอยู่ที่นี่ บังเอิญวันนั้นพระองค์นั้นท่านแบกขอนไม้ไปทิ้งลงที่ป่าหญ้าคาหนูอยู่ในนั้นท่านไม่เห็น พอดีขอนไม้ไปทับหัวหนูตาย ตายแล้วไปเกิดกับแม่ที่นี่ พอรู้เดียงสาขึ้นมา คิดถึงแต่พระองค์นั้น อยากจะมากราบขอบพระคุณท่าน”
เช่นอย่างเศรษฐีท่านหนึ่งเลี้ยงลูกหมาเอาไว้ มันเป็นลูกหมาแสนรู้ ทีแรกก็ไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันในบ้านตัวเอง ภายหลังตัวเองก็ไม่ต้องไปนิมนต์ ให้หมาน้อยตัวนั้นไปนิมนต์ ไปมันก็ไปกราบแล้วก็เห่าบ๊อกๆๆๆ เตือนว่าไปเถอะ พอพระปัจเจกพุทธเจ้าถือบาตรเดิน มันก็วิ่งนำหน้าไปจนกระทั่งถึงบ้าน ทีนี้ขากลับ มันก็ไปส่งพระปัจเจกถึงที่อยู่ ทีนี้พระปัจเจกก็มาพิจารณาดูว่าสุนัขตัวนี้มันมาเกิดเป็นสุนัขไม่ใช่เพราะบาปกรรมอื่นใด เพียงแค่ว่าจิตมันไปผูกพันกับสุนัขเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องของบาป
เพราะเมื่อก่อนนี้แกเป็นคนใช้ของท่านเศรษฐี เขาใช้ให้ขุนหมา อาหารที่เขาให้สุนัขกินนั่นมันดีกว่าที่เขาได้กิน เขาก็เลยคิดขึ้นมาว่า ถ้าเกิดมาเป็นลูกหมาเศรษฐีนี่ถ้าจะสบาย ได้กินแต่ของดีๆ อยู่มาภายหลังท่านเศรษฐีจัดงานเลี้ยง ของเลี้ยงแขกมันก็เหลือล้น เขาก็ให้แกกิน แกก็กินสมอยากนั่นแหละ เสร็จแล้วมันกินมากเกินไปก็เลยพุงแตกตาย พอตายแล้วไปเกิดเป็นลูกหมาเศรษฐี
ทีนี้พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านพิจารณารู้แล้วว่า มันน่าจะไปอยู่ในฐานะที่ดีกว่านี้ แล้วท่านก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ถ้าหากว่าทำให้สุนัขตัวนี้มันผิดหวังมันก็จะต้องตายเพราะมันรักเรามาก วันสุดท้ายพอสุนัขตัวนี้นำหน้าเดินไปส่งท่านคืนสำนัก พอไปถึงทางแยก แทนที่ท่านจะไปทางที่กลับไปที่พักของท่าน ท่านกลับไปทางอื่น มันก็วิ่งไปสกัดหน้าแล้วก็เห่าๆ เตือนว่าที่นี่ไม่ใช่ทาง ท่านก็ไม่ฟังเสียงมัน พอเสร็จแล้วพระปัจเจกท่านก็กำหนดจิตเข้าฌานเหาะหนีจากมัน มันก็หอนตามหลังจนกระทั่งพระปัจเจกไปลับสายตามัน มันก็อกแตกตาย แล้วไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์
ในลักษณะนี้ สุนัขตัวนี้ตายเพราะการกระทำของพระปัจเจก ทีนี้พระปัจเจกจะบาปหรือไม่ ท่านก็ไม่บาป เช่นอย่างเราทำของเรานี่ สอนให้เขารู้จักอย่างนั้นอย่างนี้นี่ เราไม่ได้ทำบาปด้วยตนเอง เพียงแต่สอนวิชาให้เขารู้ ทีนี้เขาจะเอาหรือไม่เอาเป็นเรื่องของเขา - 003
.......................................
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ขอบคุณลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=30332
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี