ถ้าติดตามการทำงานของผมมาอย่างต่อเนื่อง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ผมให้ความสำคัญกับ “การศึกษาสายอาชีพ” หรือ “อาชีวศึกษา” เป็นอย่างมาก เพราะในอดีตที่ผ่านมา ผมมองว่า อาชีวศึกษา เป็นโอกาสในการพัฒนาประเทศ จวบจนมาถึงปัจจุบัน ผมก็ยังเชื่อเช่นนั้น และเห็นอย่างชัดเจนว่าอาชีวศึกษา จะเป็นคำตอบของการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ภายหลังจากสถานการณ์โควิดสร้างปัญหาต่อประเทศของเราอย่างสาหัส
กระนั้น การจะให้อาชีวศึกษามาทำหน้าที่ดังกล่าวนั้นได้นโยบายทางการศึกษาต้องได้รับการ “ปรับ” เพื่อ “เปิด” โอกาสสำหรับทักษะใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และบริบทแวดล้อมทางเศรษฐกิจของบ้านเรา รวมไปถึงระบบเศรษฐกิจของโลก
หัวใจสำคัญที่จะเป็นหลักสำหรับการปรับก็คือ Comparative Advantage หรือ “ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ” หรือถ้าจะให้เรียกเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ “จุดแข็ง” ที่ประเทศของเรามี ซึ่งผมมองว่า มีอยู่ 3-4 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรก คือ เรื่องเกษตร เรื่องที่ 2 คือ เรื่องอาหาร เรื่องที่ 3 คือ เรื่องหัตถกรรม และเรื่องที่ 4 คือ เรื่องการท่องเที่ยว ผมคิดว่า 4 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบ ดังนั้น นโยบายการศึกษาสายอาชีพ ที่จะตอบโจทย์ในการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบันนั้น ผมอยากให้โฟกัสไปที่ 4 เรื่องนี้เป็นสำคัญ เพราะถ้าเราไม่ใช้ Comparative Advantage หรือจุดแข็งของเรามาเป็นตัวนำ ทำให้ตายอย่างไรก็ไม่ชนะ(การแข่งขันทางเศรษฐกิจ) ประเทศอื่นๆ
มาลงลึกเกี่ยวกับจุดแข็งทั้ง 4 เรื่องกันสักนิด อย่างเรื่องของการเกษตร ประเทศของเรามีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก เรามีอาหาร มีสมุนไพร และทราบไหมว่า เรามีจุลินทรีย์ หรือที่เรียกกันว่า โพรไบโอติกส์ (Probiotics) เป็นพันๆ ชนิด ที่ยังไม่เคยถูกนำมาใช้ ซึ่งถ้าต้องการให้การเกษตรไทยเป็นตัวยกระดับเศรษฐกิจของประเทศในแบบก้าวกระโดด เราต้องเอาอาชีวศึกษาเข้าไปดึงความรู้เช่นนี้ออกมาและนำไปพัฒนาเพื่อให้เกิดมูลค่าที่มากไปกว่าการขายเพียงแค่ผลผลิต
อีกเรื่องก็คือ วัฒนธรรม ซึ่งเป็นวิถีชีวิตจิตใจของคนไทยยกตัวอย่าง “รอยยิ้มของคนไทย” จะไปฝึกสอนให้คนสวีเดนยิ้มด้วยแววตาแบบเรานั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และฝึกให้เข้มข้นขนาดไหน ก็ยากจะทำได้ใกล้เคียง แต่คนไทยเกิดมาสามารถยิ้มด้วยแววตาได้ทุกคน สิ่งนี้เราเรียกมันว่า SoftPower หรือ อิทธิพลทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของคนไทย ตรงนี้เราต้องมองว่าเป็นจุดแข็ง และจุดขาย จากนั้นก็หากระบวนการที่จะนำไปสร้างเป็นมูลค่าออกมา นอกจากนั้น เรายังมีธรรมชาติที่เป็นต่อประเทศอื่นๆ ทั้งแม่น้ำ ภูเขา ทะเล ป่าไม้ รู้ไหมว่า ประเทศไทยของเราเป็นประเทศเดียวที่ปลูกอะไรได้ตลอดทั้งปี 12 เดือนนี่ ไม่ต้องหยุดกันเลย ประเทศอื่นอย่างมาก 4 เดือนก็ต้องหยุดเพราะว่ามันหนาวมาก ทั้งหมดนี้คือข้อได้เปรียบของเรา ที่ต้องนำออกมาใช้ให้เป็น และใช้อย่างแม่นยำ
ใช่ครับ ความหมายก็คือ นโยบายต้องปรับ ทุกอย่างต้องไม่ทำแบบเดิม ทำแล้วจน ต้องไม่ทำ คำถามก็คือ แล้วทำไมถึงทำแล้วจน ยกตัวอย่าง เกษตรกร ทำไมเขาปลูกข้าวปลูกมัน ปลูกปาล์ม ปลูกข้าวโพด หรือเลี้ยงสัตว์ แล้วยังยากจน นั่นเพราะพวกเขาทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อขายในรูปแบบผลผลิต หรือสินค้าทางการเกษตร ที่ต้องอิงกับชุมชน กลุ่ม หรือตลาดการค้า ซึ่งราคามีขึ้นมีลงตาม “ผู้กำหนดทิศทาง” นั่นก็คือกลุ่มบุคคล หรือกลุ่มธุรกิจ ที่มีอิทธิพลต่อตลาด สามารถดันราคาขึ้น หรือกดราคาลงได้ตามความต้องการ และสถานการณ์ที่คาดหวังไว้ ซึ่งแน่นอนว่า เราไม่สามารถวิ่งตามราคาตลาดที่ถูกปั่นไปมาได้ตลอด ดังนั้น เราต้องเปลี่ยนจากการขายผลผลิตเหล่านั้น ให้เป็นการค้าขายผลิตภัณฑ์ ซึ่งต้องมีองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Science Technology) เข้ามาเป็นเครื่องมือหลัก อาทิ เราจะไม่ขายผลผลิตในความหมายทั่วไป แต่เราจะขายสารออกฤทธิ์ที่อยู่ในผลผลิตนั้นๆ ที่อาจมีจำนวนไม่กี่มิลลิกรัม แต่มูลค่าสูงกว่าการขายผลผลิตเป็นกิโลกรัม หรือเป็นตัน มากมายหลายเท่าตัว เป็นต้น ว่ากันง่ายๆ ก็คือ สร้าง “คุณค่า” ให้เกิดขึ้นกับสินค้า จนกลายเป็น “มูลค่า” จากความต้องการของตลาดที่เกิดขึ้นเองอย่างแท้จริง หรือ การทำน้อย แต่ได้มาก ด้วยการใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเข้ามากำกับอย่างแม่นยำ
ตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมที่ผมทำสำเร็จไปแล้วก็คือ การปลูกฟ้าทะลายโจร เมื่อก่อนบริษัทจะมาซื้อกับชาวบ้านในราคากิโลกรัมละ 30 บาท ชาวบ้านก็ขายในราคานี้มาหลายปี หลังจากที่ผม และคณะ เข้าไปหาชาวบ้าน ไปเอาฟ้าทะลายโจรมาเข้า Lab (ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์) เพื่อหาสารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) จนเราพบว่า ฟ้าทะลายโจรของชาวบ้านกลุ่มนี้ มีสารแอนโดรกราโฟไลด์มากถึง 10% โดยองค์การอาหารและยา (อย.) ได้กำหนดไว้เพียง 4% เท่านั้น หลังจากเราเอาผลจากแล็บให้บริษัทได้รับทราบ เขาก็ยินดีขึ้นราคาจากกิโลกรัมละ 30 บาท เป็นกิโลกรัมละ 250 บาททันที นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง จากการที่เราพยายามหาว่า คุณค่าที่แท้จริงของผลผลิตของเรานั้นมันคืออะไร และพิสูจน์ว่า เรามีคุณค่าดังกล่าวนั้นอย่างครบถ้วน ซึ่งก็ต้องบอกว่าบริษัทเหล่านั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ เพียงแต่ธุรกิจก็คือธุรกิจ พ่อค้าก็คือพ่อค้า เราเพียงแต่ต้องหาจุดร่วมที่ได้เปรียบของสินค้าให้เจอ ความเข้าใจ หรือข้อตกลงต่างๆ มันก็จะได้รับการยกระดับขึ้นมา
กระบวนการตามที่ได้เล่ามานี้เอง คือกระบวนการที่ควรต้องถูกบรรจุลงในนโยบายของการศึกษาสายอาชีพ หรืออาชีวศึกษา บุคลากรในสายนี้ต้องเสริมคมทักษะดังกล่าวอย่างแหลมคม เพื่อยกระดับผลิตผลราคาต่ำ ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เราต้องขายสารแอนโดรกราโฟไลด์ ไม่ใช่ฟ้าทะลายโจร ดังนั้น องค์ความรู้ในด้านการปลูก ว่าปลูกแบบไหนถึงจะมีสารแอนโดรกราโฟไลด์เยอะ หรือต้องเก็บผลผลิตช่วงไหน และส่วนไหนที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์อยู่ รวมไปถึงกระบวนการอื่นๆ ทั้งการใช้เครื่องมือสมัยใหม่ การใช้องค์ความรู้ที่มาจากการค้นคว้าวิจัย รวมไปถึงการจดจำบันทึกข้อมูลสถิติ เพื่อนำมาใช้พัฒนากระบวนการทำงานให้มีความแม่นยำมากขึ้นนั้น ล้วนมีความจำเป็นต่อการสร้างทักษะให้แก่นักเรียนนักศึกษาสายอาชีพแทบทั้งสิ้น เพื่อให้พวกเขาสามารถนำมาพัฒนาการเกษตร และเรื่องอื่นๆ ของประเทศไทย ให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต
ด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้ ความตั้งใจของผมก็คือ นโยบายทางด้านการศึกษาสายอาชีพ สายอาชีวะนั้น ต้องเพิ่มเติมเรื่องของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้าไปด้วย เพราะเมื่อใส่ 3 เรื่องนี้เข้าไป อาชีวเกษตร มันก็จะไม่ใช่อาชีวเกษตรแบบเดิมๆ แล้ว แต่จะเป็น “อาชีวเกษตรโมเลกุล” (Molecular Agriculture) ส่วนในเรื่องของคหกรรม ก็จะยกระดับเป็น อุตสาหกรรมแปรรูป หรือเทคโนโลยีอาหาร อันมีหน้าที่ในการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาหารออกมาสู่ตลาดในประเทศไทย และบุกไปตลาดทั่วโลก ผัดไทยที่อร่อยที่สุดของบ้านนี้ มัสมั่นที่เด็ดที่สุดของพัทลุง ถ้าขายเป็นจาน เป็นหม้อ ก็ไม่เกินร้อย แต่ถ้าเราสามารถบรรจุหีบห่อแล้วส่งไปประจำอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ลอนดอน ซิดนีย์ หรือเมืองอื่นๆ ทั่วโลกได้ มูลค่ามันก็จะทวีคูณขึ้นมาอย่างมหาศาล และนั่นคือศักยภาพทางการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยที่จะก้าวกระโดดไปได้อย่างแท้จริง
แต่แน่นอนว่า กระบวนการชูจุดแข็งของสินค้า ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตามที่นำเสนอมา อาจเป็นเรื่องยากสำหรับชาวบ้านทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดเรื่องทักษะ ความเข้าใจ รวมไปถึงเครื่องมือ แต่อาชีวศึกษาทำได้ครับ เพียงแค่ปรับนโยบาย แล้วใส่สิ่งนี้เข้าไปให้กับนักเรียนนักศึกษาในสายนี้ เราก็จะมีผู้เชี่ยวชาญในด้านการสร้างมูลค่าที่สูงขึ้นให้แก่ผลผลิตของชาวบ้านตามท้องที่ต่างๆ ออกมามากมาย รวมไปถึงในกลุ่มช่างยนต์ ช่างไฟฟ้า ฯลฯ ถ้าเราเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้าไปเติมเต็ม เราก็จะสามารถมีนักสร้างปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือแม้แต่คนเขียนโปรแกรมเฉพาะด้านออกมาได้ ซึ่งนี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับการศึกษาสายอาชีพ หรืออาชีวศึกษา ที่ผมคิดว่า มันควรถึงเวลาได้แล้วครับ สำหรับประเทศไทย
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี