เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดเสวนาเรื่อง “การส่งเสริมมรดกวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้เป็น Soft Power สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” โดย ศ.(กิตติคุณ) ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ นายกราชบัณฑิตยสภา กล่าวถึงคำแรกคือ “Soft Power” หมายถึง “พลังศรัทธา” เช่น ผ้าขาวม้าผืนหนึ่งต้นทุนราคาประมาณหลักร้อยบาท แต่หากเป็นการผลิตที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชาวอิตาลี และผ่านเวทีเดินแบบ ราคาอาจพุ่งไปถึงหลักหมื่นบาท
คำต่อมาคือ “Content Industry” หมายถึง “อุตสาหกรรมเนื้อหา” ซึ่งจะอธิบายให้เกิดศรัทธาและมูลค่าเพิ่ม เช่น ผ้าขาวม้าผืนนี้ผลิตโดยไม่ใช้แรงงานเด็ก กระบวนการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น หรือเรื่องของ “ไอ้ไข่” ที่วัดเจดีย์ จ.นครศรีธรรมราช มีคนจากทั่วประเทศเดินทางไปกราบไหว้บูชา ส่งผลให้บรรยากาศการท่องเที่ยวคึกคักขึ้นมาด้วย เช่นเดียวกับศิลปินดาราที่รับงานโฆษณาสินค้าด้านหนึ่งศิลปินได้ค่าจ้าง แต่อีกด้านสินค้าก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า นี่คืออานุภาพของพลังศรัทธา และเมื่อถึงขั้นมีศรัทธาแล้วก็มักจะอยู่ไปยาวนานหรือยั่งยืน
“ที่พูดว่า Soft Power แล้วผมใช้คำของผมว่าพลังศรัทธา จริงๆ อยู่ที่คน แล้วก็ดูท่าทางเหมือนทุกคนจะพูดว่าต้องสร้างความเข้าใจในคนปัจจุบันและคนในอนาคต ให้รู้จักทรัพย์สินทางปัญญาของเรา ว่ามันมีดี มันมีทั้งคุณค่าและมีทั้งมูลค่า แล้วมันสามารถต่อยอดได้ทั้งทางด้านสุนทรียศิลปะและโดยเทคโนโลยีที่ก้าวไกลไปสู่อนาคต องค์ความรู้ต่างๆ เหล่านี้เป็นบูรณาการ ซึ่งจริงๆ มันอยู่ในระดับประถม มัธยม และอุดมศึกษา ที่มีอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ ที่ในภาษาฝรั่งเรียกว่า Steam Education (การศึกษาแแบบองค์รวม) แต่น้ำหนักทางด้านศิลปะมันเป็นลักษณะผิวเผิน
มันขาดความเข้าใจและชื่นชมแล้วนำมาใช้ มันคล้ายๆ เหมือนเราไปชื่นชมเฉยๆ แล้วก็ผ่านไป มันไม่ได้เกี่ยวกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน ดังนั้นตรงนี้ ท่านใช้คำว่า มรดกทางวัฒนธรรมมันมีความรู้สึกเหมือนตายไปแล้ว แต่จริงๆ แล้วเป็นของที่มันยังอยู่ แล้วคนที่เขาสืบทอดเขาต้องเปลี่ยน กรรมการบางท่านรวมทั้งผมก็มีลูกชาย แล้วก็อยากให้เขาเอาสมบัติบ้านที่เราซื้อที่เราหามาไป เขาไม่เอาไปสักชิ้นเลย แต่มีบางชิ้นเขาหยิบไปต่อ ฉะนั้นตรงนี้ สกสว. ต้องดูการสร้างคนรุ่นใหม่ที่สามารถใช้ Soft Power อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล”ศ.(กิตติคุณ) กล่าว
ขณะที่ ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า หาก Soft Power หมายถึงพลังศรัทธา ในมิติการท่องเที่ยวย่อมหมายถึงอะไรก็แล้วแต่ที่ดึงดูดให้คนไปท่องเที่ยว เช่น ประเทศไทยที่ช่วงก่อนสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เคยมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยือนปีละ 30-40 ล้านคน ซึ่งปัจจัยที่ดึงดูดให้คนไปท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1.ทรัพยากรธรรมชาติ 2.ทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้น (เช่น วัดวาอาราม โบราณสถานที่เป็นมรดกโลก หรือบางประเทศที่มีสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ เป็นต้น) และ 3.กิจกรรม (Event)
ซึ่งหากนำ Soft Power มาจับ ก็จะพบตัวอย่าง สำหรับประเทศไทย เช่น กระแส “ออเจ้า” หรือการแต่งชุดไทยไป
ท่องเที่ยวตามรอยละครบุพเพสันนิวาส “มวยไทย” ที่ชาวต่างชาติได้เรียนได้ซึมซับวัฒนธรรมแล้วก็เดินทางมาท่องเที่ยวในไทย “มิตรภาพ” ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทย ดึงดูดให้ผู้ที่เคยมาท่องเที่ยวประเทศไทยแล้วอยากจะกลับมาเยือนอีกในภายหลัง หรือตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน กับ “ตรุษจีน” ที่สามารถสร้างกระแสให้คนทั่วโลกไม่ว่าจีน ไทย ฝรั่ง ฯลฯ สวมใส่เสื้อผ้าสีแดงในวันดังกล่าวได้
“NFT ทุกคนรู้จัก ก็คือ Non-Fungible Token คือสิ่งที่ทดแทนไม่ได้ สิ่งที่ทดแทนไม่ได้ของ ททท. นั้น N คือธรรมชาติ (Nature) เรากำลังจะเปลี่ยนเรื่องการท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นประสบการณ์ทั้งสิ้น แต่ธรรมชาติต้องเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ ไม่ใช่แค่ดู แต่เป็น Nature to Keep มันก็นำเป็นประสบการณ์ นำไปสู่นักท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เพิ่มมากขึ้น F อันนี้เดาง่าย Food (อาหาร) เพราะร้อยละ 80-90 ไปเที่ยวนอกจากจะถามว่านอนที่ไหนยังถามว่ากินอะไร Food เป็นสิ่งที่ดึงดูด
แต่ Food เราไม่ให้แค่มากิน ผมต้องการให้เขามา Explore (สำรวจ) เพราะอาหารไทยหลากหลาย อาหารเหนือก็แบบหนึ่ง อาหารใต้ก็แบบหนึ่ง แล้วสุดท้ายตัว T ก็คือ Thainess อันนี้วัฒนธรรมล้วนๆ แต่เขาต้องมา Discover (ค้นพบ) วัฒนธรรมไม่ได้มีแค่นวด แต่ให้เขามา Discover สิ่งที่สามารถเอาไปปรับใช้กับชีวิตของเขา ลองนึกภาพนักท่องเที่ยว นักเดินทาง มาเที่ยวไทยด้วยสินค้าบนพื้นฐานของมรดกทางวัฒนธรรม แล้วเขามา Discover บางอย่าง มันเป็นเรื่องของความเป็นไทยกลับไปอันนี้เราฝังเข้าไปในชีวิตเขาเลย” ผู้ว่าฯ ททท. กล่าว
ด้าน อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า หากอยากให้ Soft Power เติบโต ต้องมีทั้งค่านิยมที่เป็นวัฒนธรรมของตนเอง และที่เป็นวัฒนธรรมสากล ซึ่งอาหารเป็นตัวอย่างที่ดี เช่น อาหารไทยไปต่างประเทศ หรืออาหารต่างประเทศมาไทยก็มีการปรับสูตรให้เข้ากับบริบทของพื้นที่ วัฒนธรรมด้านหนึ่งคือการอนุรักษ์ แต่อีกด้านต้องปรับตัวเพื่อไปเชื่อมกับสากลขณะเดียวกัน การมองแบบขาว-ดำ ก็เป็นอุปสรรค เช่น การห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งที่ดื่มกันในชีวิตจริงและเป็นส่วนหนึ่งของความบันเทิง
“ผมคิดว่าในชีวิตจริงเราไม่ได้เป็นคนขาวไปตลอดทาง มันมีขาว มีเทา บางช่วงก็ดำหน่อย บางช่วงก็เทาๆ ขาวๆ ชีวิตส่วนใหญ่มันคงไม่ขาวสะอาด ถ้าขาวสะอาดก็ต้องไปบวชชี ผมว่าชีวิตมันเป็นแบบนี้ แต่ว่าเราไม่ให้โฆษณาเหล้า เพราะฉะนั้นหนังในทางบันเทิงมันตัดอรรถรสไป ผมว่า 30% มันตัดอรรถรสไป บางคนบอกมันไม่ตัดหรอก ทำไมต้องเอาเรื่องนี้มาเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ ผมคิดว่า Fact (ข้อเท็จจริง) มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเป็นสังคมที่ดัดจริตน้อยหน่อย
เราดัดจริตเกินเหตุ มันมีเรื่องแบบนี้เยอะมากในสังคมไทย” อภิสิทธิ์ กล่าว
ปิดท้ายด้วย พิมพ์รวี วัฒนวรางกูร ที่ปรึกษากรม
ส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึงความท้าทายคือ เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่มองว่าวัฒนธรรมไทยเชยและไม่เห็นความสำคัญ ซึ่งเมื่อไม่เห็นความสำคัญก็จะไม่หยิบยกมาพัฒนาต่อยอด นอกจากนี้ ในระดับท้องถิ่นคนรุ่นใหม่ก็ไม่รู้ว่ามรดกภูมิปัญญาในพื้นที่ของตนเองคืออะไร เมื่อผู้ใหญ่ล้มหายตายจากไป
ภูมิปัญญาเหล่านี้ก็จะเหลือแต่เพียงตำนาน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความร่ำรวยทางวัฒนธรรมอันดับต้นๆ ของโลก หรืออาหารไทยก็มีชื่อเสียงมาก เป็นต้น
“เราร่ำรวยทางวัฒนธรรมมาก แต่ทำอย่างไรให้คนไทยเห็นความสำคัญของวัฒนธรรมไทย แล้วรู้จักส่งเสริม รักษา รวมทั้งพัฒนาต่อยอด ที่จะพัฒนาเป็น Soft Power ของประเทศต่อไป” พิมพ์รวี กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี