เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “ทำไมต้องการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ (Area Based Education : ABE)” โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ซึ่งมีวิทยากร 3 ท่าน อาทิ ศ.วุฒิสาร ตันไชยเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า แม้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจะเป็นปัญหาเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันพบความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น
เช่น การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ที่มีคุณภาพและเสมอภาค กำหนดให้เป็นสิทธิของประชาชนตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และให้เป็นหน้าที่ของรัฐใรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 แต่ในความเป็นจริง ด้านหนึ่งมีความเสมอภาคเรื่องไม่เก็บค่าใช้จ่ายแต่อีกด้านคือคุณภาพของสถาบันการศึกษาที่แตกต่างกัน และเมื่อเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ปัญหาความเหลื่อมล้ำก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“กสศ. ได้มีตัวเลขของเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา วันนี้มีการพูดเรื่องคนจนข้ามรุ่น ที่พ่อแม่ถ้าไม่ได้รับการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ อนาคตจะมีผลผลิตใน Generation (รุ่น) ต่อไป หรือในกลุ่มเด็กคนต่อไปนั้นมีปัญหามากขึ้นที่เราเรียกว่าคนจนข้ามรุ่น เราพูดเรื่องการศึกษาที่มีความรุนแรงและซับซ้อน วันนี้มิติของการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจึงไม่ได้อยู่เฉพาะการจัดการศึกษา แต่มันหมายถึงการสร้างเงื่อนไข การสร้างโอกาสที่จะทำให้ระบบแวดล้อมดีขึ้นด้วย” ศ.วุฒิสาร กล่าว
เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวต่อไปว่า ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา แก้ไขได้ด้วย 1.สร้างโอกาส ซึ่งรวมคุณภาพของสถาบันการศึกษาทุกแห่งต้องใกล้เคียงกัน แม้ไม่ถึงขั้นเท่ากันทั้งหมดแต่ช่องว่างความแตกต่างควรมีน้อย เช่น ครู อุปกรณ์การเรียน กับ 2.เสริมสร้างความสามารถในการใช้โอกาส หมายถึงการค้นหาเด็กที่ไม่สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาได้
เช่น ในสถานการณ์โควิด-19 เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองตกงานขาดรายได้ก็ไม่สามารถส่งเสริมให้บุตรหลานไปเรียนหนังสือด้วย ทางออกจึงอยู่ที่การค้นหาเด็กหรือครัวเรือนกลุ่มนี้ ดังนั้นจึงเป็นที่มาของแนวคิด “แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต้องเริ่มในระดับพื้นที่” เพราะกลไกระดับพื้นที่อยู่ใกล้ปัญหามากที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา สถาบันพระปกเกล้าทำงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หลายแห่ง พบว่าแต่ละแห่งให้นิยามความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาแตกต่างกัน
การแก้ปัญหาเชิงพื้นที่จึงต้องการเลนส์ที่ละเอียด คือเลนส์ที่เข้าไปเอกซเรย์ปัญหาแล้วกำหนดว่าอะไรคือปัญหาที่ต้องแก้ก่อน และไม่จำเป็นต้องคิดว่าจะพลิกแผ่นดิน เปลี่ยนเมืองเปลี่ยนจังหวัดในทันที แต่ให้ทำจากจุดเล็กๆ เพราะเมื่อทำสำเร็จจะเกิดความเชื่อมั่นว่าแก้ปัญหาได้ นำไปสู่ความศรัทธาที่ทุกคนคิดว่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้ มีระบบสนับสนุนเชิงข้อมูลที่ทำให้สามารถมองเห็นและชี้เป้าแต่ละพื้นที่ได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญ “การแก้ปัญหาการศึกษาเป็นหน้าที่ของทุกฝ่าย” ทั้งภาครัฐ อปท. ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ตลอดจนมหาวิทยาลัยในพื้นที่ต้องร่วมมือกัน
ขณะที่ ผศ.ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์ อาจารย์สาขาวิชาบริหารรัฐกิจ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การบริหารงานภาครัฐของไทยมีระบบราชการ 3 แบบ คือ 1.ส่วนกลาง มี 20 กระทรวง 146 กรม เป็นส่วนราชการที่มีอำนาจสูงสุดตามกฎหมาย มีทรัพยากรมากที่สุดทั้งบุคลากรและงบประมาณ ซึ่งหมายถึง “โครงสร้างของรัฐไทยเป็นแบบรวมศูนย์ อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่ส่วนกลางไม่ใช่พื้นที่” เช่น หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดมองเห็นปัญหา แต่การแก้ปัญหาต้องทำเรื่องของบประมาณมาที่ส่วนกลาง
“แต่ถึงอำนาจจะรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง การทำงานก็ไม่เป็นเอกภาพ” เช่น ในการแก้ปัญหาด้านการศึกษา นอกจากกรมหรือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ยังเชื่อมโยงกับด้านอื่นๆ อาทิ ฐานะทางเศรษฐกิจ ครอบครัว สุขภาพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น อีกทั้งการที่หน่วยงานส่วนกลางไปตั้งสำนักงานในแต่ละจังหวัด หลายหน่วยงานก็ไม่ได้ทำงานขึ้นตรงกับผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ขึ้นกับสำนักงานใหญ่ที่ส่วนกลาง จึงมีปัญหาการขับเคลื่อนงานร่วมกัน
2.ส่วนภูมิภาค มีหัวหน้าฝ่ายบริหารคือผู้ว่าราชการจังหวัด นอกจากนี้ ยังมีส่วนราชการต่างๆ ไปตั้งสำนักงานในแต่ละจังหวัด และมี 33 สำนักงานเหมือนกันหมดทุกจังหวัด และมีผู้บริหารหรือหัวหน้าระดับย่อยลงมาคือ นายอำเภอ กำนันและผู้ใหญ่บ้าน “ปัญหาของราชการส่วนภูมิภาคคือการแต่งตั้งโยกย้ายกระทบความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของพื้นที่” มีการประชุมหารือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อสรุปร่วมกัน
แล้ว แต่เมื่อหัวหน้าส่วนราชการถูกย้ายไปประจำจังหวัดอื่น
ทุกอย่างก็ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่
และ 3.ส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. ระดับต่างๆ ที่มีอยู่รวม 7,850 แห่ง เป็นหน่วยงานภาครัฐที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อให้มองปัญหาในระดับพื้นที่เป็นหลัก เห็นได้จากบุคลากรตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงพนักงานเจ้าหน้าที่จะอยู่ประจำท้องถิ่นไม่ถูกโยกย้ายไปที่อื่น “ปัญหาของราชการส่วนท้องถิ่นคือในขณะที่ฝั่งท้องถิ่นขยายตัว ฝั่งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคไม่ได้หดตัวลงด้วย” ทำให้ท้องถิ่นมีข้อจำกัดในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่
เช่น ท้องถิ่นเห็นอาคารเรียนในพื้นที่มีสภาพทรุดโทรมจึงจัดงบประมาณไปซ่อมแซม ปรากฏว่าท้องถิ่นเป็นฝ่ายผิดเพราะทำเกินอำนาจหน้าที่ เนื่องจากอาคารเรียนดังกล่าวเป็นของโรงเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ถึงขั้นที่ผู้บริหารท้องถิ่นต้องไปหาเงินมาชดใช้คืน แต่มุมมองของคนในท้องถิ่นนั้นไม่ได้แยกว่าโรงเรียนไหนเป็นของหน่วยงานใด เพราะโรงเรียนทุกแห่งในพื้นที่นักเรียนก็คือบุตรหลานคนในพื้นที่ ท้องถิ่นจึงอยากพัฒนาให้ดีขึ้น
“การที่รัฐส่วนกลาง ภูมิภาคและท้องถิ่นจะแก้ปัญหาเดิมและมองภาพไปข้างหน้าอย่างไร มันคงคุยเฉพาะกลไกรัฐอย่างเดียวไม่ได้ มันจะต้องสนทนากับภาคธุรกิจเอกชนทั้งในและนอกพื้นที่ ซึ่งอาจจะมาเป็นตัวช่วยและสนับสนุนการศึกษาได้ องค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ ซึ่งทำงานด้านการศึกษาหรือการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมในมิติต่างๆ ก็นับได้ว่าเป็นเครือข่ายซึ่งมีทุน มีความรู้ความชำนาญบางอย่างที่รัฐไม่มี
และส่วนสุดท้ายก็คือชุมชนและพลเมืองซึ่งเขาใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ท้องถิ่นจะทำอย่างไร เช่น เราเกิดปัญหาโควิด เด็กขาดเครื่องไม้เครื่องมือ พ่อแม่ฐานะเศรษฐกิจแย่ จะทำอย่างไรให้กลไก 4 ภาคซึ่งดำรงอยู่ในพื้นที่มานั่งสนทนาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แสวงหาทางออกร่วมกัน บูรณาการทรัพยากรในการดำเนินงานร่วมกัน แล้วก็แก้ปัญหาอย่างจริงจัง ถ้าภาพแบบนี้เกิดขึ้น ก็เชื่อว่าปัญหาหลายอย่างจะทุเลาเบาบาง” ผศ.ดร.วสันต์ กล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา นักวิชาการ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากตัวเลขคาดการณ์ มีเด็กไทยทั่วประเทศที่เผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามากกว่า 2.9 ล้านคน หรือเฉลี่ยต่อจังหวัดอยู่ที่ประมาณ 38,000 คน ซึ่งการจัดการกับปัญหาต้องทำโดยคนในพื้นที่เพราะอยู่ใกล้ปัญหามากที่สุด “ยิ่งการค้นหาลงลึกไปถึงระดับชุมชนมากขึ้น เด็กที่กำลังเผชิญปัญหาก็มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือเร็วขึ้น” แนวคิดการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ หรือ ABE จึงมีความสำคัญ และน่ายินดีที่ปัจจุบันมีกว่า 40 จังหวัดที่ให้ความสนใจ
การทำงาน ABE เริ่มต้นได้ด้วย 6 องค์ประกอบ คือ 1.รวมกลุ่มคนที่สนใจ มีใจรักและเป็นที่ศรัทธา หมายถึงคนที่มีจิตอาสาหรือจิตสาธารณะ หรือหน่วยงานที่คนในพื้นที่เชื่อมั่นว่าหากลงมือทำจะทำอย่างจริงจัง ซึ่งจะส่งผลให้ภาคส่วนอื่นๆ เข้ามาร่วมสนับสนุนด้วย 2.ทำความเข้าใจปัญหาจากข้อมูลที่มีอยู่ เช่นในพื้นที่มีเด็กกลุ่มไหนบ้างต้องได้รับความช่วยเหลือ และวิธีการช่วยเหลือเด็กแต่ละกลุ่มควรเป็นอย่างไร อาทิ เพิ่มโอกาสการเรียนรู้ ส่งเสริมการฝึกอาชีพ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีอยู่แล้วแต่กระจัดกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ จะนำมากองรวมกันเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างไร
3.การสื่อสารทางนโยบาย โดยเฉพาะในระดับสูงของจังหวัดมีความจำเป็นเพื่อให้เกิดการบูรณาการ 4.สร้างแนวร่วม-สื่อสารสร้างการรับรู้ นอกจากการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคนที่มีความสนใจแก้ไขปัญหาแล้ว ต้องสื่อสารให้สังคมเข้าใจด้วย เพราะเด็กและเยาวชนเป็นบุตรหลานของคนในพื้นที่ 5.ออกแบบกลไกการทำงาน-วิเคราะห์-ระดมทรัพยากร ตามความเหมาะสมของพื้นที่ และ 6.ยกระดับการทำงานสู่ความยั่งยืน เพื่อให้ช่วยเหลือเด็กกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
“อย่างน้อย 3 เรื่องที่เราสกัดออกมาได้ว่ามันเกิดเรื่องนี้แน่ๆ ถ้ามีการดำเนินงานเรื่อง ABE เกิดขึ้นในจังหวัดของท่าน 1.นโยบายจังหวัด ยุทธศาสตร์จังหวัดบรรลุผลไว 2.คนทำงานในจังหวัดทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะมีการช่วยเหลือแลกเปลี่ยนข้อมูล เชื่อมโยงตัวชี้วัดเป้าหมายร่วมกัน 3.คนในพื้นที่มีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้ ปัญหามันก็น้อยลง” ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ กล่าว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี