สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ยืดเยื้อยาวนานมากว่า 2 ปี นอกจากจะส่งผลกระทบด้านสุขภาพจากการเจ็บป่วยและล้มตายเพราะติดเชื้อไวรัสร้ายนี้แล้ว ยังรวมถึงด้านเศรษฐกิจด้วยมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโรค หลายกิจการถูกปิดตัว และเมื่อผู้ประกอบการแบกรับไม่ไหวก็ลงเอยด้วยการเลิกจ้างพนักงาน ซึ่งสามารถทำได้หากจ่ายค่าชดเชยตามที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาก็มีข้อร้องเรียน ทั้งการเลิกจ้างแบบไม่จ่ายค่าชดเชยหรือจ่ายไม่ครบถ้วน ไปจนถึงการเลือกปฏิบัติโดยการเลิกจ้างพนักงานหญิงที่กำลังตั้งครรภ์
ในการแถลงข่าวของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ประจำสัปดาห์นี้ มีการหยิบยกงานของ กสม. กรณีได้รับเรื่องร้องเรียนจาก คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ที่ทำงานร่วมกับ สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เปิดศูนย์รับร้องทุกข์เพื่อแก้ไขปัญหาลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 48 บัญญัติรับรองและคุ้มครองสิทธิของมารดาให้ได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลือตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งย่อมหมายถึงการคุ้มครองและช่วยเหลือลูกจ้างหญิงตั้งครรภ์ทั้งในช่วงระหว่าง ก่อนและหลังการคลอดบุตรด้วย และมาตรา 71 วรรคสาม บัญญัติให้รัฐพึงให้ความช่วยเหลือเด็ก สตรี คนพิการให้สามารถดำรงชีพได้อย่างมีคุณภาพ และคุ้มครองป้องกันมิให้บุคคลดังกล่าวถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
ประกอบกับ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 43 กำหนดห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างหญิงเพราะเหตุมีครรภ์ อันเป็นบทบัญญัติเด็ดขาดและไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งสอดคล้องกับหลักการในอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี และอนุสัญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นมารดา ค.ศ.2000 ข้อ 8
ที่กำหนดให้การเลิกจ้างลูกจ้างหญิงในระหว่างตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างการลาคลอด และในช่วงระยะเวลาหลังจากกลับไปทำงานแล้ว เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เว้นแต่เป็นการเลิกจ้างด้วยสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์หรือการคลอดบุตร รวมทั้งอนุสัญญาฉบับที่ 158 ว่าด้วยการเลิกจ้าง ค.ศ.1982 ยังกำหนดให้การตั้งครรภ์และการหยุดงานเนื่องจากลาคลอดบุตรเป็นเหตุผลที่ไม่ควรนำมาใช้ในการเลิกจ้างด้วย
แม้การตรวจสอบข้อร้องเรียนในห้วงเวลาดังกล่าวจะไม่ปรากฏว่ามีการเลิกจ้างด้วยเหตุตั้งครรภ์ เพราะผู้ถูกเลิกจ้างในสถานประกอบการที่ถูกร้องนั้นมีทั้งผู้ที่ตั้งครรภ์และไม่ตั้งครรภ์ในคราวเดียวกัน แต่การตรวจสอบโดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พบกรณีนายจ้างบางรายไม่จ่ายค่าชดเชยการเลิกจ้างหรือจ่ายแต่ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยพนักงานตรวจแรงงานได้ออกคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างตามสิทธิที่กฎหมายกำหนด ซึ่งปัจจุบันลูกจ้างที่ได้รับความเสียหายตามคำร้องนี้ได้รับเงินค่าชดเชยการเลิกจ้างครบถ้วนแล้ว และลูกจ้างบางรายได้กลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิม สภาพการจ้างและสวัสดิการเท่าเดิม และนับอายุงานต่อเนื่องแล้ว
อย่างไรก็ตาม กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2565 เห็นควรเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ดังนี้ 1.กำหนดกลไกหรือแนวทางเฉพาะในการตรวจสอบสาเหตุแห่งการเลิกจ้างลูกจ้างหญิงให้แน่ชัดว่ามิใช่การเลิกจ้างเพราะเหตุตั้งครรภ์ ทั้งนี้ เพื่อให้การบังคับใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรา 43 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ที่กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่า ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์นั้นมีประสิทธิภาพในการคุ้มครองลูกจ้างหญิงตั้งครรภ์จากการถูกเลิกจ้างในทางปฏิบัติ
2.ส่งเสริมและเผยแพร่มาตรการในการบรรเทาการเลิกจ้างในช่วงสถานการณ์ที่ผู้ประกอบกิจการได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แก่ผู้ประกอบกิจการอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะมาตรการลดจำนวนลูกจ้าง ซึ่งรวมถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเลิกจ้างอย่างเหมาะสม และแนวทางการดำเนินการในทางปฏิบัติ ทั้งนี้ มาตรการหรือแนวทางดังกล่าวควรเพิ่มเติมสาระสำคัญเกี่ยวกับการคุ้มครองลูกจ้างหญิงตั้งครรภ์จากการถูกเลิกจ้างและการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานด้วย
และ 3.กำหนดมาตรการกรณีการพิจารณาลดอัตราการจ้างงานอันเนื่องมาจากปัญหาด้านเศรษฐกิจ โดยกำหนดให้ลูกจ้างกลุ่มเปราะบาง อันได้แก่ ลูกจ้างหญิง
ตั้งครรภ์ ลูกจ้างผู้พิการ เป็นลูกจ้างอันดับท้ายที่จะถูกพิจารณาให้ออกจากงาน และให้นายจ้างถือปฏิบัติโดยทั่วกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี