สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ของไทยในปัจจุบัน เริ่มบรรเทาเบาบางลง แต่ก็ยังคงต้องใช้มาตรการป้องกันอย่างเข้มงวดต่อไป จะปล่อยให้การ์ดตกไม่ได้ เพราะยังคงพบการระบาดและแพร่กระจายเชื้ออย่างต่อเนื่อง
ส่วนในเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้รับมือกับไวรัสร้ายตัวนี้นั้น ไทยยังคงพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศซึ่งนอกจากต้องใช้งบประมาณสูงแล้ว ยังพบปัญหาการใช้งานของเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ตอบโจทย์ของบุคลากรทางการแพทย์อีกด้วย
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เล็งเห็นปัญหาดังกล่าวจึงสนับสนุนทุนวิจัยให้กับทีมวิจัยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ในการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตใช้เองในประเทศและมีคุณภาพมาตรฐานเทียบเคียงกับผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีจุดเด่นที่สามารถออกแบบให้เป็นระบบสร้างความดันลบและห้องแยกผู้ป่วย สามารถปรับให้เหมาะสมกับรูปแบบความต้องการใช้งาน และขนาดพื้นที่ได้
โดย สวรส. ได้ทำการส่งมอบนวัตกรรม HI PETE (ไฮพีท)เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย (Patient Isolation Chamberfor Home Isolation) ให้แก่ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะและ โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์รับมือสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19ที่อาคารสำนักงานกลาง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา
นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) มีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการสร้างความรู้ที่จำเป็นในการพัฒนาระบบสุขภาพ ตลอดจนผลักดันให้เกิดการใช้ประโยชน์จากความรู้ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้เกิดการพัฒนานโยบายสุขภาพบนพื้นฐานของความรู้เชิงประจักษ์ ตลอดจนผลักดันงานวิจัยระบบสุขภาพหลากหลายด้าน เพื่อมุ่งไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน
สวรส. ให้ความสำคัญกับการจัดสรรทุนวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง และส่งผลต่อความยั่งยืนในระบบสุขภาพ รวมทั้งผลงานวิจัยยังสามารถตอบสนองต่อการแก้ปัญหาของประเทศได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความยั่งยืนของระบบการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อลดค่าใช้จ่าย การประเมินความคุ้มค่าและผลกระทบของงบประมาณ การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันปัญหาโรคระบาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19
“สวรส. ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่สามารถใช้งานได้จริง เพื่อให้เกิดการต่อยอดและขยายผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาวิกฤตในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงสนับสนุนทุนวิจัยให้กับทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. ในการพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตใช้เองในประเทศให้มีคุณภาพและมาตรฐานเทียบเคียงกับผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศได้ ตลอดจนสนับสนุนการนำองค์ความรู้จากงานวิจัยมาพัฒนาต่อยอดเพื่อแก้ปัญหากรณีที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องเผชิญและมีความเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19” นพ.นพพร กล่าว
นวัตกรรม HI PETE (ไฮพีท) สามารถใช้ได้ที่บ้านหรือชุมชนที่มีพื้นที่จำกัด ไม่มีห้องแยกในที่อยู่อาศัย หรือใช้ในศูนย์พักคอยหรือโรงพยาบาลสนาม และมีการออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์ โดยได้ผ่านการทดสอบทั้งด้านประสิทธิภาพการกรองเชื้อ และความปลอดภัยทางไฟฟ้าที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่ง สวรส. มั่นใจว่านวัตกรรมงานวิจัยชิ้นนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในพื้นที่ระดับจังหวัดทั่วประเทศ และสามารถช่วยแก้ปัญหาของบุคลากรทางการแพทย์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อีกด้วย
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. กล่าวว่า สำหรับผลงาน HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย เป็นผลงานวิจัยและพัฒนาโดยทีมวิจัยการออกแบบเพื่อการเป็นอยู่ที่ดี กลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ เอ็มเทค สวทช.
ซึ่งเป็นการต่อยอดองค์ความรู้มาจากการพัฒนาเปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบความดันลบ ที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่า “PETE (พีท)” มาเป็นเต็นท์สำหรับแยกผู้ป่วยแบบ Home Isolation และเรียกสั้นๆ ว่า “HI PETE (ไฮ พีท)” โดยทีมวิจัยได้ออกแบบและพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับผู้ป่วยสีเขียวที่จำเป็นต้องทำ Home Isolation ที่บ้าน แต่ไม่มีห้องแยกในที่อยู่อาศัย หรือใช้สำหรับโรงพยาบาลสนาม เพื่อแยกหรือกักผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อทางเดินหายใจ
เต็นท์ความดันลบ HI PETE (ไฮ พีท) มีจุดเด่นคือ ทำความสะอาดได้ง่าย สามารถปรับเลือกขนาดเต็นท์ได้เหมาะสมตามขนาดพื้นที่ห้องในที่อยู่อาศัย ต้นทุนต่ำ มีน้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายง่าย สามารถย้ายไปติดตั้งใช้งานเป็นห้องรักษาพยาบาลที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อชั่วคราว มีช่องหน้าต่างสำหรับสื่อสารระหว่างผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายเชื้อระหว่างผู้ป่วยกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติงาน ลดระยะเวลา ลดภาระงาน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของบุคลากร โดยปัจจุบัน HI PETE มีทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่
1.รุ่น COMPACT (คอมแพ็ค) เป็นรุ่นที่มีขนาดเล็กพกพาง่าย ติดตั้งได้รวดเร็ว เหมาะกับที่บ้าน หรือ โรงพยาบาลสนาม
2. รุ่น BALLOON (บอลลูน) มีดีไซน์ที่คล้ายลูกโป่ง ที่สามารถติดตั้งได้รวดเร็วด้วยปั๊มลม เหมาะกับโรงพยาบาลสนาม หรือหอผู้ป่วย
3. รุ่น GRANDE (แกรนเด) เป็นรุ่นที่มีขนาดใหญ่ กว้างขวาง รองรับการติดตั้งเครื่องมือแพทย์ ตอบโจทย์การใช้งานในสถานพยาบาลที่ต้องดูแลรักษาผู้ป่วยหนัก อาทิ แผนกฉุกเฉิน และหอผู้ป่วย
นวัตกรรม HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วยทั้ง 3 รุ่น ได้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระบบไฟฟ้าเครื่องมือแพทย์ ผ่านมาตรฐานการทดสอบความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า และผ่านมาตรฐานห้องสะอาด ISO 14644 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับการส่งมอบ HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย ให้แก่ โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และโรงพยาบาลเซนต์เมรี่ ทั้งหมดในวันนี้นอกจากเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ของการ “ปกป้อง” บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยแล้ว จะเป็นการร่วมมือกันศึกษาและปรับปรุงพัฒนานวัตกรรมเต็นท์ความดันลบให้ตอบโจทย์การใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพได้ต่อไป
ดร.ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า สำหรับบทบาทของบริษัทกับการสนับสนุนงานวิจัยไทยนั้น ในฐานะภาคเอกชนที่ช่วยสนับสนุนเตียงสนามและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องประกอบเข้าไปในเต็นท์ความดันลบ HI PETE (ไฮ พีท) โดยก่อนหน้านี้ทางบริษัทฯ ได้ร่วมกับทางสาธารณสุขจังหวัดระยองที่ต้องการเตียงสนามซึ่งสามารถรับน้ำหนักมาตรฐานได้ถึง 250 กิโลกรัม จึงได้ส่งมอบเตียงทั้งหมด 2,000 เตียงทั่วประเทศ และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม ปตท. เพื่อให้ผู้ป่วยมีที่นอนในการแยกตัวเอง ในภาวะวิกฤตโควิด-19 เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์
อย่างไรก็ตาม ตลอดการระบาดของโรคโควิด-19 ทางบริษัทและพันธมิตรได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนบริจาคเตียงรวมทั้งหมด 7,000 เตียง รวมทั้งฟูก ผ้าปู หมอน ผ้าห่ม ซึ่งรู้สึกภูมิใจที่เป็นหนึ่งของภาคเอกชน ที่ได้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและบุคคลากรทางการแพทย์ใช้อย่างต่อเนื่อง
“เตียงนี้สามารถทำความสะอาดและฆ่าเชื้อได้ และเป็นอีกนวัตกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่ง สวทช. และอีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป ช่วยกันผนึกกำลังช่วยเหลือประเทศไทยในภาวะวิกฤตโรคระบาด ลดการพึ่งการเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และสำคัญที่สุดช่วยให้ประชาชนคนไทยได้รับการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเหมาะสมและเท่าเทียม” ดร.ภวัฒน์ กล่าว
นางกุลประภา นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า สวทช. เป็นองค์กรวิจัยที่นำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสร้างเป็นนวัตกรรม ขยายผลสู่การใช้ประโยชน์ในมิติต่างๆ ซึ่งในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา สวทช.ได้ส่งมอบนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนภารกิจของบุคลากรทางการแพทย์มาอย่างต่อเนื่อง โดยนวัตกรรมจากเทคโนโลยีของ สวทช. นี้พัฒนาขึ้นจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับทีมแพทย์ที่เป็นบุคลากรด่านหน้าที่สำคัญในการทำหน้าที่ดูแลรักษาชีวิตของผู้ป่วยที่มีจำนวนมาก
“งานวิจัยจะสำเร็จไม่ได้ หากขาดผู้สนับสนุนและผู้นำไปใช้ประโยชน์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแท้จริงโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ตลอด 3 ปีที่ผ่านมานักวิจัย สวทช. ได้ใช้องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีสาขาต่างๆ มาคิดและพัฒนาเป็นนวัตกรรมขึ้นมากมาย ซึ่ง HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของผลงานที่ได้รับการสนับสนุนจาก สวรส. และพร้อมส่งต่อให้กับโรงพยาบาลที่ต้องการนำไปใช้งานจริง ถือเป็นความสำเร็จและเป็นความมั่นคงทางการแพทย์ ตามนโยบายโมเดลเศรษฐกิจ BCG” นางกุลประภา กล่าว
ทั้งนี้ หากสถานพยาบาลหรือองค์กรใดที่มีความประสงค์ต้องการนำ HI PETE (ไฮพีท) ไปใช้จริงและมีความพร้อมที่จะทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการใช้งานร่วมกับทีมวิจัยเอ็มเทค สวทช. สามารถแจ้งความจำนงมาได้ที่ อีเมล PETE@mtec.or.th (ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ และ พรพิพัฒน์ อยู่สา) หรือ โทร. 0-2564-6500
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี